กว่าจะเป็นโปรแกรมเมอร์ (นำมาจากหลายๆที่ครับ เพื่อให้ดูความเห็นแต่ละท่าน) PART II อ่าน 23,624

กว่าจะเป็นโปรแกรมเมอร์ (นำมาจากหลายๆที่ครับ เพื่อให้ดูความเห็นแต่ละท่าน)  PART II


เป็นโปรแกรมเมอร์ด้วยลำแข็งตัวเอง

ผู้เขียน : นายติน. (2 เมษายน 2542)

เป็นโปรแกรมเมอร์ ด้วยลำแข้งตัวเอง หากคุณเคยคิดอยากเป็น "โปรแกรมเมอร์" (หรือยังไม่เคยคิดก็ตาม) วันนี้คุณอาจพบตัวเอง คำว่า "โปรแกรมเมอร์" อยู่ไม่ไกลมือคุณ… มาลองดูด้วยกัน หาหนทางเป็นโปรแกรมเมอร์ด้วยกัน ในเนื้อความผมจะแนะนำ แนวทาง, วิธีการศึกษาด้วยตัวเอง, การเลือกภาษา ให้เหมาะกับคุณ เหมาะกับงานของคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คนทำงาน, นักเรียน, นักศึกษา หรือคนตกงานนั่งวางอยู่ที่บ้าน อย่าสับสนให้เวลาต้องผ่านเลยไป เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และมาเป็น โปรแกรมเมอร์ด้วยกัน…

ทางเริ่มเป็นโปรแกรมเมอร์

เริ่มจากที่ตัวคุณเองได้เลยครับ คุณอาจเคยเขาใจว่าการเป็นโปรแกรมเมอร์นั้น ต้องอาศัยความสามารถ และการเงินที่สูง คนธรรมดาอย่างเราๆ ไม่มีทางศึกษาเป็นโปรแกรมเมอร์ได้หรอก… ถึงวันนี้ลองเปลี่ยนความคิด(ผมไม่สนใจว่าคุณจะรู้มาจากใคร) หากวันนี้คำว่าโปรแกรมเมอร์ยังหลอกหลอนคุณอยู่, หากคุณยังหาแนวทางไม่ได้ ผมจะแนะนำคุณ…

ทำความพร้อม เพื่อเราจะเป็นโปรแกรมเมอร์

ไม่ถึงขั้นจำเป็นต้องออกไป ศึกษาตามสภาบันสอนคอมพิวเตอร์ ให้เสียเงินเป็นหมื่นๆ หรอกลองนั่งอยู่ที่บ้าน หาห้องสมุดที่ใกล้ตัว หาหนังสือคู่มือดีๆ ไม่แน่คุณอาจจะเก่งกว่าคนที่จบมาจากสถาบันคอมพิวเตอร์เสียอีก… เพียงคุณต้องเขาใจว่า คุณต้องตั้งใจที่จะศึกษา ที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ สละเวลาสักวันล่ะ 1-2 ชั่วโมง (อย่างน้อยก็ 1 ชั่วโมง) ขยันสักหน่อย พอคุณเริ่มเป็น อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น ถ้าหาทางไม่ถูกก็ลองอ่านต่อไป…

  1. สำรวจเวลาว่างของตนเอง ขอให้ทำเป็นอันดับหนึ่งเลย ลองหาเวลาของตัวเองว่าจะว่างได้สักตอนไหน สัก 1 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย ถ้าหาเวลาว่างไม่ได้ ก็อย่าใช่เป็นข้ออ่างว่าไม่มีเวลา ลองย้ายกิจกรรมตอนเย็นไปทำในเวลาอื่น เช่น อ่านหนังสือ (ใครที่อ่านตอนเย็น) ก็เปลี่ยนไปอ่านตอนกลางวัน อย่างไรก็ตามถ้าไม่ "หัวเด็ดตีนขาด" หาเวลาให้ตัวเองให้ได้…
  2. ดูงานที่คุณทำอยู่ ก็ถ้าคุณอยู่ในวัยทำงานก็ดูว่างานของคุณ ทำเกี่ยวกับอะไร เช่น บัญชี เอกสาร การเงิน จัดเก็บข้อมูล หรืออะไรพวกนี้ เพื่อนจะได้หาภาษาที่เหมาะกับคุณ… ถ้าเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา ก็ให้ดูซิว่าที่โรงเรียนหรือสถาบันของตนเอง เปิดสอนวิชา เกี่ยวกับภาษาคอมพิวเตอร์หรือเปล่า ถ้าสอนก็ให้จับวิชาที่สอนก่อนเลย จะได้ดีทั้งสองอย่าง
  3. หาห้องสมุดที่ใกล้และดูเงินในกระเป๋าคุณ แน่นนอนครับการศึกษาด้วยตัวเองอย่างไรก็ไม่พ้นหนังสือ ดีๆ สักเล่ม(จะให้ดีต้องมากกว่านั้น) เริ่มจากหนังสือ ภาษาไทยก่อน อาจจะราคาสูงบ่างสำหรับนักเรียน ตกประมาณ 390-680 บาท อาจจะมีบ่างเล่มที่ ทะลุถึงหลัก 800-900 บาท (เดียวผมจะมาว่าที่หลัง.) ลองเขาไปดูในห้องสมุดก่อน อาจเป็นห้องสมุดชุมชน หรือจะให้ดีเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยก็ได้ ถ้าไม่ได้เป็นนักศึกษา เอาสะดวกหน่อยที่ ม.ราม หัวหมาก ไปเลย ชั้น 5 ครับ มีให้เลือกอ่านกัน ตามสมควร …

    ลองดูหนังสือ ที่เราอ่านรู้เรื่อง ที่เราคิดว่ามีเนื้อหาสาระเยอะ ซึ่งดูได้จาก คำนำ ่ เขาเขียนเพื่ออะไร, สารบัญ แจกแจงเนื้อหา, บทนำ หรือบทแรกก่อนที่จะเขาสาระเขามักจะบอกคุณว่าจะสอนอะไรบ่าง อ่านดูให้เขาใจ แล้วก็เลือกเล่มที่ถูกใจ ดูราคา จะเล่นนั้นไว้ ไปซื้อเลยครับ ถ้าไม่มั่นใจก็ลอง ยืมกลับไปอ่านที่บ้าน (ถ้ามีบัตร) หรือนั่งอ่านที่ห้องสมุดสักหน่อย คุณจะเจอเล่มที่ดีที่สุดได้ไม่ยาก… เลือกภาษาที่ถูกใจ นี่ครับสำคัญที่สุด เพราะเป็นปัญหามาก หลายคนจะถามว่าภาษาอะไร ดีกว่ากัน คำตอบนี่ยาก (สุด ๆ) ครับ… ถ้าเรามานั่งวิเคราะห์กันจริงๆ มั่นจะได้เหตุผมมาประการพิจารณา 108 ครับ

    เพราะฉนั้นผมจะไม่แนะนำให้คุณเลือกภาษาที่คุณคิดว่าเป็นภาษาที่ดีที่สุด ให้คุณมองหาภาษาที่ดีกับตัวคุณดีกว่า มองภาษาที่เหมาะกับเรา ผมแนะนำให้ดูอย่างนี้ครับ (ว่าแบบตรงๆเลยนะ)

    ดูที่งานของเรา ถ้าต้องเกี่ยวกับ ธุรกิจ บัญชี อาจจะเป็นนักเรียนพาณิช ต้องทำงานกับโปรแกรม Office บ่อย ก็ให้มองไปที่ Visual Basic ได้เลยครับ เพราะภาษากระกูลนี้คุณจะสามารถ นำมาประยุกต์เขากับงานของคุณได้ อย่าลืมนะครับว่าโปรแกรมจะ Microsoft จะมีความใกล้ชิดกับ Visual Basic ของตนเองเป็นอย่างมาก การที่เรารู้จัก Visual Basic จะทำให้เราใช้โปรแกรม Office ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นอันว่าคุณจะสร้างคุณภาพงานและความสามารถให้ตัวคุณเอง ไปโดยบริยาย อีกทั้งถ้าเป็นคนทำงานอาจใช้เป็นข้ออ้าง ว่าทำการศึกษาเพิ่มความรู้ได้ด้วย ส่วนถ้าเป็นนักศึกษาไม่แน่อาจเก่งคอมกว่าอาจารย์อีก(มีอยู่เยอะไป)…

    ส่วนถ้าเป็นนักเรียนเทคนิคลอง หรือพวกนักศึกษาวิศวกรรม (พวกสายวิศวะ) ก็ให้มองไปที่ Pascal กับ C/C++ เพราะจะตรงกับสายมากว่า พวกอิเล็กทรอนิกส์ มองไปที่ C/C++ ได้เลยตรงที่สุด ส่วนพวกอุตสาหกรรม Pascal จะเด่นกว่า C/C++ อยู่เล็กน้อย…

    และถ้าเป็นนักศึกษาพวกวิทยาศาสตร์(พวกวิทย์-คอม) มองที่ Pascal ไปเลยครับ. สาเหตุก็เพราะไม่รู้เป็นอะไร ตามมหาวิทยาลัยนี่อาจารย์ชอบกันจัง Pascal เราก็เรียนที่เราต้องเจอกับมันก่อนดีกว่า

    (*สาเหตุที่ อ.ชอบสอน Pascal ก็เพราะ Pascal เขาเมืองไทยมาก่อนที่ C จะเขา ก็เลยทำให้อาจารย์ที่ เรียนมาก่อนเราๆ ก็เลยเป็นกันแต่ Pascal อีกทั้ง Pascal เป็นภาษาโครงสร้างที่สมบูรณ์ (ไม่นับรวมOOP) ก็ เลยเป็นการดีที่จะให้ศึกษาการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง ซึ่งในขณะนั้นไม่มี OOP ให้ปวดหัว)

    ดูที่เพื่อนฝูง ลองดูซิว่าเพื่อนฝูงของเรามีคนเป็นคอม เขียนโปรแกรมเป็นมั๊ย ถ้ามีเป็นอยู่หลายคน ก็ลองดูซิว่ามันเก่งภาษาไหนอยู่ ไม่แน่นะ ลองไปสนิทกับเพื่อนเอาไว้ จะได้แหล่งที่ปรึกษาชั้นดี (ที่ตบหัวได้) อยู่ข้างกาย เพราะถ้าเรามีอะไร จะได้ถามเพื่อนๆ ได้ครับ ถ้าไปเรียนอะไรที่ต่างจากคนอื่นเราก็จะหาที่ปรึกษาได้ยากขึ้น

    ดูที่ร้านขายหนังสือ สำคัญเหมือนกันนะครับ ไปดูเลยความว่าคุณ สามารถหาหนังสือ ที่สอนภาษาเล่มไหนได้สะดวก อย่างสมัยก่อน (พ.ศ.40) ผมเจอมากับ C/C++ (สมัยนี้ก็เป็นอยู่) ตอนนั้นไปดูบนชั้นขายหนังสือ ที่ว่าถึง C/C++ นับเล่มได้เลยครับ ทั้งที่มีคุณภาพและขาดคุณภาพ มีไม่ถึง 10 ที่ว่าดีน่าอ่าน มีไม่เกิน 5 และที่ว่าดี ราคาไม่ต่ำกว่า 500 บาท และตอนนั้นผมเป็นนักเรียนยิ่งยากที่จะหาเงินมาซื้อ (พ่อแม่ไม่รวย)

    แต่คุณรู้มั๊ย ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้หนังสือภาษา C/C++ ที่หน้าอ่านถึงวันนี้ก็ยังไม่เกิน 5 เล่น (เหมือนเดิม) ที่หน้าอ่านก็เล่มเดิมๆ ล่ะครับ มีเพิ่มก็ของ อ.กวาง แห่ง ThaiDEV.COM ที่เขียน คู่มือใช้งาน Visual C++ 6.0 ขึ้นมา (เล่มนี้ดีที่สุดบนแผงครับ และคิดว่าจะดีไปอีกนาน) ทีผมพูดมานี่คุณสามารถตีความได้ว่า C/C++ หาหนังสือดีๆอ่านได้ยาก จริงๆก็ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพราะหนังสือดีๆ แค่เล่มเดียวก็สามารถทำให้คุณเก่งได้แล้วครับ ส่วนที่จะหาหลายเล่มก็เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้สูงขึ้น สำหรับ C/C++ แล้ว ที่น่าอ่านก็คงเป็นหนังสือของ (ผู้เขียน) พ.อ.เจนวิทย์ เหลืองอร่าม กับของ อ.กวาง (แห่งThaiDEV) สองคนนี้ผมมั่นใจครับ มองหาหนังสือมาอ่าน ถ้าเป็นไปได้อย่าไปคอยถาม "คนโน้นคนนี้" ว่าเล่มไหนดี ลองหาด้วยตัวเองก่อน

"คนที่จะอ่านเป็นคุณนะครับไม่ใช่คนอื่น"

และถ้าไม่มั่นใจจริงๆว่าหนังสือเล่มไหนดี ก็ลองถามเพื่อนที่เรามั่นใจว่า(มัน)เก่งจริง หรือจะให้ดีลองใช้บริการหรือไปฝากถามตาม Webboard ของที่ต่างๆ เช่น Pantip, ThaiDEV, ThaiTOP, ARMAWEB.COM, SANOOK, เว็บกระกูล SIAM รับรองคุณจะได้ข้อมูลที่ หลากหลายจากหลายความคิด จากหลายคน (ทั้งมีประสบการณ์และไม่มีประสบการ.?) ไม่แน่คุณอาจได้คำแนะนำหนังสือ จากหลายคนจนเป็นแนวทางในการเลือกซื้อได้ อีกทั้งอาจได้เพื่อนคอยปรึกษาอีกต่างหาก แล้วผมขอแนะนำให้คุณทำใจ ถ้าคุณยังเห็นว่าหนังสือราคา 400-500 บาท มันแพง เพราะโดยมากก็ขายกันในราคาประมาณนี้ครับ หนังสือที่คุณซื้อเป็นคู่มือต้องอยู่กับคุณไปอีกนานนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็น เก่งหรือไม่เก่ง หนังสือที่ดีจะสามารถเป็นแหล่งหาข้อมูลแก้ปัญหาได้ครับ กัดฟันสักหน่อยน่าครับ 400-500 บาท ถ้าอับเงินจริงๆ ก็ห้องสมุดเลยครับผม

อ้อ... และก็เผื่อใจไว้กับภาษาอังกฤษด้วย คือ จะบอกว่าในไทยเราก็แค่หาหนังสือ ดีๆได้ก็ว่ายากแล้ว ยิ่งจะหาหนังสือที่ขยายความรู้ออกไปอีกนี่แทบไม่มีเลย จะไปเรียนพิเศษในยุค IMF ก็ยังต้องคิด 2 จิต 2 ใจ ฉะนั้นหนังสือ หนังสือต่างประเทศ หรือที่เรียกจนติดปากเป็นศัพท์นักศึกษา คือ "TEXTBOOK" พวกนี้ล่ะครับ ดีที่สุดแพงจริง แต่เต็มที่ก็ไม่เกิน 3000 บาท (ยังถูกกว่าเรียน) ถ้าคิดว่าพออ่านมันได้ก็ดีครับ ผมเองก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษอะไร แต่ด้วยแรงพยายามอันสูงสุด ก็ยังอุตสาห์ (หากรรม) มานั่งอ่านอยู่ได้ เปิดจน Dictionary พังไปเล่มหนึ่งแล้ว อ่านไปได้ครึ่งเล่มแล้วครับ หนังสือพวกนี้ยากแค่ความที่มันเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนเนื้อความก็ไม่ได้ยากไปกว่าของไทยหรอครับ (แต่มันจะยาก อังกฤษ+เนื้อหา) แต่ถ้าทำได้คุณจะเป็นหนึ่งที่เก่งจนหาตัวจับยาก (และก็เก่งภาษาอังกฤษโดยบริยาย) ก็แนะนำว่า ศึกษาจากหนังสือภาษาไทยก่อน ถึงศึกษาไปแล้วเกิดล้มกลางคันก็ยังดี เพราะราคามันไม่แพง… จากนั้นพอเก่งแล้วก็ ไปหา Textbook ดีๆมาอ่านถ้าแพงมากไป ก็ไปหาตามห้องสมุด หรือ ถ่ายเอกสารเอาไปเลย (อย่างน้อยบ่างครั้งถูกกว่า) คุณจะได้เนื้อหาที่ละเอียดขึ้นจาก TextBook ครับ.

ผมขออีกนิดนะครับ ใครที่สามารถหา TextBook อ่านได้ อ่านแล้วอย่าเก็บเอาไว้คนเดียว อยากให้คุณเขียนสรุปเนื้อหาที่คุณอ่านได้ เอาว่าเผยแผ่ให้คนอื่นๆ ที่มีโอกาสน้อยกว่าได้อ่าน หรือถ้าที่บ้านมี Scanner ก็สเกน แล้วแปลงเป็น เอกสาร Word แล้วเอาไปแจก… คนไทยให้ทั่วเว็บเลย ถ้าทำเองแล้วกลัวโดนจับเมล์มาบอกผม เดียวทำให้เอง… ศึกษาเองจะเก่งได้เหรอ… ครับได้ครับ… ขอเพียงคุณขยัน และมีเวลาให้กับมัน ประมาณสะวันล่ะ 1-2 ชั่วโมง การที่คุณจะเก่งสะภาษาหนึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนได้ (ทำใจไว้เลย) ถ้าคุณเก่งสักภาษาหนึ่งแล้วภาษาต่อไป (ถ้าคุณอยากศึกษาเพิ่มอีกก็จะเร็วขึ้น) สละเวลาว่าง มานั่งอ่าน เมื่อคุณได้หนังสือที่คุณถูกใจก็ขอให้คุณอ่านมันไป ไม่ต้องไปรีบร้อนว่าจะอ่านมันให้จนใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ให้คอย ๆ อ่านมันไป (แบบอ่านนิยาย) ขอให้อ่านแบบละเอียด จับใจความได้

โดยมากหนังสือ พวกนี้ จะมีตัวอย่างให้เราทำตาม ก็นั้นล่ะครับ ถ้ามีคอมอยู่ที่บ้านด้วยก็ดี สบายเลย แต่ถ้าไม่มีคอม อยู่ที่บ้านก็ลำบากหน่อย ถ้ายังเป็นนักศึกษาก็ไป อาศัยคอม ในห้อง Lab ดู คนทำงานก็แอบใช้คอมที่ทำงานนั้นล่ะครับ กับผมเองแนะนำว่า ให้คุณอ่านให้จบบทหนึ่งไปก่อนเลย เวลามีการยกตัวอย่างให้คุณ ดู ก็ขอให้คุณศึกษาจากตัวอย่าง คิดตาม ใช้ความคิดศึกษา Code แต่ล่ะบันทัดว่ามันหมายถึงอะไร ให้ทำงานอย่างไร ถ้าคุณทำอย่างนี้แล้วมีคำถามเกิดตามมาเต็มเลย ก็หมายความว่าคุณได้อ่านถึงเนื้อหาแล้วครับ ลองทบทวนเนื้อหาที่ผ่านมาดู (เป็นการอ่านย้อยซ้ำ โดยบริยาย) ไม่ว่าจะเขาใจทุกบรรทัดหรือเปล่า เมือคุณทบทวนจนรู้สึกว่าน่าจะพอแล้ว ไม่เขาใจบ้างเล็กน้อยก็ช่างมันครับ ลองทำตามตัวอย่างกับคอมพิวเตอร์ของคุณเลยครับ หลายครั้งที่ปัญหานั้นต้องรอให้คุณ ฝึกทำไประยะหนึ่งแล้วคุณจะเขาใจ ยิ่งถ้าคุณ เขียนโปรแกรมเองบ่อยๆ ไม่ว่าจะเขียนเสร็จหรือเปล่า คุณจะได้ประสบการณ์และเทคนิค ที่คุณเองเขาใจ ขยันอ่านและขยันเขียนครับ

จะให้ดีไม่เพียงแค่จากหนังสือที่คุณอ่านอยากเดียวลองหาหนังสือเสริมอีก เช่น นิตยสารคอมพิวเตอร์ที่ขายกัน ตามแผง เช่น ไมโครคอมพิวเตอร์, หนังสือในเครือ AR อย่าง Windows Magazine , Internet Today เป็นต้น หนังสือพวกนี้จะมีคอลัม ที่พูดถึงการเขียนโปรแกรมอยู่เสมอครับ คุณก็สามารหาเทคนิคได้จากพวกนี้ครับ จงเป็นนักคิด รู้จักเขียนโปรแกรมบ่อยๆ พอคุณเริ่มเป็นบ่างแล้ว นึกอยากจะเขียนโปรแกรมอะไร ก็เขียนไปเลย จะเขียนได้ไม่ได้ก็ให้ทำไป เพราะคุณจะได้ฝึกทักษะไปในตัว ได้เจอปัญหา พยายามแก้ปัญหา มีปัญหาแล้วก็พยายามมาสอบถาม เพื่อหาความรู้เขาตัวเองครับ อีกสักนิด ไปต้องไปไหนไกลเลยครับ Web อย่าง Thaidev.COM (ของ อ.กวาง), PAIWEB (ของผมเอง) เว็บพวกนี้และที่อื่นๆ อีกมากสามารถเป็นแหล่งความรู้ให้คุณได้ พวกเว็บมาสเตอร์ และคนอื่นๆ ที่มีความรู้เขามาชมเว็บ ถ้าได้ปัญหาของคุณก็ยินดีตอบอยู่แล้วครับ เป็นโปรแกรมเมอร์แล้วสิ่งจะได้ กว่าคุณจะเก่งได้ ความรู้ที่คุณศึกษาไม่เพียงแค่ เขียนโปรแกรมเป็นเท่านั้นนะครับ คุณจะมีความรู้เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ของคุณ เพิ่มขึ้นอีกมาก คุณจะรู้อะไร ที่ว่าด้วยคอมพิวเตอร์อีกมากมายครับ แล้วต่อไปคุณก็จะเขาใจว่าคอมพิวเตอร์ไม่ได้ยากอย่างที่คุณคิด คุณจะเป็นคนหนึ่งที่เก่งคอมพิวเตอร์ อีกทั้งเป็นการฝึกการวางแผน ฝึกเป็นนักคิดอย่างมีระบบ…

ต้องเริ่มศึกษาจากพื้นฐาน ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ ก้าวหน้าไปมากครับ พัฒนาขึ้นทุกวัน ปีต่อปี พักหลังนี้ เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ เมื่อความก้าวหน้ามันเพิ่มขึ้นพื้นฐานมันก็ก้าวตามครับ เช่น สมัยก่อน OS พื้นฐานก็เป็น DOS เวลาที่จะพิมพ์เอกสาร ก็ต้อง CW แต่ในวันนี้ พื้นฐานก็ Windows 95 พิมพ์เอกสารก็ WinWord วันนี้คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่ง (บ้า) ศึกษาย้อนหลังจากสมัย DOS แล้วครับ คุณก็มาศึกษา Windows ไปเลย ต่อให้คุณไม่รู้เลยกับ DOS ก็ไม่ได้ทำให้คุณไม่สามารถใช้ Windows ได้ เพียงแต่ถ้าคุณรู้พื้นฐาน Dos บ่างคุณจะใช่ Windows ได้ดีขึ้น แต่ผมให้คุณเริ่มศึกษาจากพื้นฐานตอนนี้ไปเลย แล้วคอยไปหาเศษหาเลยกันที่หลัง ไม่งัน อีก 10 ปี ไม่มานั่งเรียน DOS กันตายหรือครับ…

การเขียนโปรแกรมก็เหมือนกัน ถ้าคุณจะเขียน โปรแกรมบน Windows คุณก็ศึกษา พวก Visual Basic, Visual C++, Delphi กันไปเลย ไม่ต้องมาให้ความสำคัญกับการเขียนโปรแกรมบน Dos ให้มากมาย มันก็ขึ้นกับการศึกษาของคุณด้วยครับ เช่น ถ้าคุณ ศึกษา Visual C++ ความรู้โดยบริยายก็จะทำให้คุณรู้เนื้อหาที่เกียวกับการเขียนโปรแกรมบน Dos บ่างเล็กน้อยที่จำเป็น แล้วเมือคุณศึกษาไป คุณก็จะได้เก็บเนื้อหาไปเองทีล่ะนิด แต่ถ้าคุณรู้พื้นฐานการเขียนโปรแกรมบน Dos มาก่อนมันก็เป็นพื้นฐานให้คุณได้ ถ้ามีเงินเหลือผม ก็จะแนะนำให้คุณ หาหนังสือ (หรือเข้าห้องสมุด) แล้วก็อ่านหนังสือที่สอนให้เขียนโปรแกรมบน Dos ตามภาษานั้นๆ อ่านให้พอรู้พอไม่ต้องไปเอาเป็นเอาตายอะไรกับมัน ถ้าต่อไปไม่รู้ก็คอยกลับไปอ่านใหม่ครับ… จำแนกภาษาไว้ให้เลือก เอาเพื่อความง่ายในการเลือกภาษาที่ถูกใจกับคุณ… ผมจะพูดถึงทุกๆ ภาษาที่คนไทยเรานิยมให้ฟัง พอเป็นแนวทาง ผมแบ่งหมวดพวกมันเป็นดังนี้ ครับ

  1. ภาษาที่ใช้พื้นฐาน Code จาก ภาษา Basic เช่น Turbo Basic, Visual Basic พวกนี้โดยมากะสินค้า (ผมใช้คำว่าสินค้า) ของ Microsoft ครับ
  2. ภาษาที่ใช้พื้นฐาน Code จาก ภาษา Pascal เช่น Turbo Pascal, Delphi พวกนี้โดยมากเป็นผลผลิต ของ Borland ครับ
  3. ภาษาที่ใช้พื้นฐาน Code จาก ภาษา C และ C++ เช่น (หลายอันมาก) Turbo C++, Broland C++, MS Visual C++, Symantec Visual C++ เป็นที่นิยมกันอย่างแผ่หลายครับ ที่สำคัญได้แก่ Microsoft, Broland
  4. ภาษาที่พัฒนามาเพื่องานฐานข้อมูล เช่น MS Visual FoxPro, Broland Visual Dbase เป็นต้น พวกนี้ตัวลักษณะ Code จะเป็นเอกลักษณ์ของตน แต่ก็มีความง่ายไม่แพ้กัน
  5. ภาษาที่พัฒนามาเพื่องานเครือข่าย เช่น Java, Perl เป็นต้น (รวมถึง กระกูล Script อย่าง JavaScript, VBScript,)

    ลองสังเกตดูนะครับ เท่าที่เป็นทุกวันนี้มีคู่แข่งในวงการผลิตเครื่องมือเขียนโปรแกรม(ผมเรียกง่ายๆ) ก็จะมีอยู่ 2 ขั้วด้วยกัน คือ (1.)Microsoft, (2) Borland โดยทั่งสองเจ้าจะมีเครื่องมือเป็นตัวชูโรงอยู่คนล่ะอัน Microsoft จะมี Visual Basic เป็นหัวหอกหลัก (ปัจจุบันถึงรุ่น 6.0) แค่ชื่อก็บอกแล้วครับว่ามีพื้นฐานมาจาก ภาษา Basic โดย Microsoft ได้แทรกคุณสมบัติอันน่าใช้ของ Visual Basic ลงในสินค้าของตนไม่ว่าจะเป็น ชุดโปรแกรม Office ซึ่งใช้การโปรแกรม Visual Basic ผนวกเขาไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ให้สูงขึ้น… อีกทั้ง การทำงานของ ASP ยังต้องพึ่งพา VB Script ซึ่งก็เป็นเชื้อสายของ Visual Basic จึงจะเห็นได้ง่า Visual Basic เป็นพระเอกตัวทำคะแนน ของ Microsoft ส่วนทาง Borland ก็จะมี Delphi เป็นขุนพลทัพหน้าสำหรับทำศึกแบบประชิดตัวกับ Visual Basic (โดยปัจจุบัน Delphi ถึงรุ่นที่ 4.0) โดยเจ้า Delphi นี้จะอาศัยพื้นฐาน Code จากภาษา Pascal (อาจจะเรียกว่า Pascal ภาค Windows ก็น่าจะได้) ทางด้านประสิทธิภาพและความง่าย ก็ไม่เป็นรอง Visual Basic จะฝัง Microsoft เลย…

    ทั้ง Visual Basic กับ Delphi เป็น 2 โปรแกรมพัฒนา ("โปรแกรม"ที่ใช้เขียน "โปรแกรม") ที่ได้รับความนิยมอย่าง (บ้าคลั่ง) สูงในไทย ก็นับว่าเป็น 2 ภาษาที่น่าศึกษา เพราะมีหนังสือดีๆ ให้เลือกตามแผงหนังสืออย่างมากมาย คุณสามารถเขียนโปรแกรมบน Windows โดยที่ไม่ต้องไปเรียนเขียนโปรแกรมบน DOS (ไม่ต้องย้อนไปเรียน Basic หรือ Pascal ก่อน) อีกทั้งความง่ายของ มันทำให้คุณสามารถสนุกกับการศึกษาด้วยตัวเองเป็นอย่างมาก สำหรับท่านที่ต้องการเป็น Programmer ได้ในระยะเวลาอันสั้น 2 ภาษานี้ไม่ควรมองข้ามครับ เพราะทรัพยากรการเรียนรู้ อำนวยอยู่มากมาย นั่นคือ หนังสือ กับ เพื่อนคนไทยที่ใช้

    เราหันกลับมามองที่ภาษาที่ยิ่งใหญ่ ภาษา C/C++ หลายคนจะสับสนว่า เรียก C (อ่านว่า ซี) หรือ C++ (อ่านว่า ซี-พลัส-พลัส) กันแน่ อันที่จริง C และ C++ มันเป็นภาษาคนละระดับครับ พัฒนามาคนละสมัยกัน โดยที่ C++ ได้พัฒนาต่อจาก ภาษา C (หรือ C เป็นรากฐานของ C++) โดย C++ ได้เติมส่วนขยาย(คุณสมบัติอื่นๆ) ที่ C ไม่มีลงไป ที่เห็นเป็นหลัก เช่น การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือ OOP (Object-Oriented Programming) เราเรียกได้เลยว่า C++ เป็นภาษาแรกที่บุกเบิก OOP ก็ว่าได้ และในอีกต่อมา OOP ก็เป็นมาตรฐานที่(แทบ)ทุกภาษามีกัน OOP เป็นการพัฒนาการเขียน(Code ของ)โปรแกรม ด้วยความสามารถอันนี้ สามารถลดความสับซ้อนในการเขียน Code ลงไปได้ (แต่อาจเพิ่มความสับสน กว่าจะเขาใจ OOP) OOP สามารถช่วยให้คุณจัดการกับ Code ที่มีความยาวมากๆ (หลายๆพัน บรรทัด ถึงหลักหมื่นบันทัด) ให้เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โปรแกรมเมอร์จะมีขอจำกัดในการใช้ Code ลดลง เรียกได้เลยไม่ถูกบีบโดย Code อีกต่อไป (สำหรับคนที่เข้าใจ OOP แล้วนะครับ) อีกทั้งคุณจะหนี OOP ไม่ได้เลยกับการเขียนโปรแกรมบน Windows เพราะ OOP สามารถ Code ที่คุณจะเขียนจาก พันๆบันทัดให้เหลือ ไม่ถึง 10 บรรทัด

    OOP จะช่วยในการทำงานเป็นทีมการพัฒนาโปรแกรมในระยะยาว คุณสามารถปรับแต่ง ต่อเติม Code ได้อย่างเดียวกับการต่อของเล่น (ตัวต่อ Lego) แต่เมื่อมามองในเมืองไทย C/C++ (ขอเรียกสองอันนี้คู่กันไปนะครับ) C/C++ เพิ่งจะได้รับการเหลียวมองมาไม่นานนี้เอง ผมเป็นคนหนึ่งก็ว่าได้ที่เกิดทันยุกต์ที่คนไทย (ทั่วไป) ยังกลัว C/C++ หนังสือที่มีคุณภาพพอที่จะให้คุณศึกษา C/C++ ด้วยตัวเองบนท้องตลาด จนถึงวันนี้ ฉบับภาษาไทย มีไม่เกิน 10 เล่มครับ (จริงๆผมว่าไม่ถึง 5 ด้วย) และก็เป็นครั้งแรกในรอบ 2-3 ปีก็ว่าได้ที่มีหนังสือ สอนการใช้ Visual C++ ออกมาในท้องตลาด (คิดดู 2 ปีมาเลย เพิ่งมีคนทำ Visual C++ 6.0) มาให้อ่าน และ ณ.ที่นี้ก็ขอขอบคุณ อ.กวาง (อ.นิรุธ อำนวยศิลป์) ด้วยที่ให้โอกาสกับคนไทยได้รับรู้กับความก้าวหน้า ของ ภาษา C/C++ , C/C++ เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ น่าสนใจไม่น้อย

    ในปัจจุบัน โปรแกรมเมอร์และนักพัฒนาจากทั่วโลก ยกให้ภาษา C/C++ เป็นภาษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และ C/C++ เองยังเป็นต้นแบบให้กับอีกหลายภาษาเช่น Java, Perl เป็นต้น C/C++ เป็นภาษาที่ได้รับมาตรฐานจากทั่วโลก และเรียกได้เลยว่า C++ เป็นภาษาในงานอุตสาหกรรม อีกทั้งถ้าคุณเคยศึกษากับ อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ C/C++ จะมีส่วนในงานพวกนี้อย่างมากเลยครับ C/C++ ยังรองรับกับงานทาง วิศวกรรม งานคำนวณ และงานทั่วไป C/C++ ก็ยังเป็นต่อภาษาอื่นอยู่เล็กน้อยเสมอ แต่เนื่องด้วยตัว Code ของ C++ ที่ หลวม ไม่เคร่งคัด C/C++ จะให้อิสระการการเขียน Code อย่างมาก จึงทำให้ C/C++ เป็นภาษาที่คนเขียนต้องหารูปแบบการเขียนของตัวเองให้เจอ ก็เลยทำให้ คนที่จะศึกษา C/C++ ต้องใช้เวลามากกว่า คนอื่นเล็กน้อย แต่ถ้าศึกษาได้แล้ว คนที่เขาใจกับ C/C++ แล้วอาจจะไม่อยากมองภาษาอื่นเลยก็ได้ สำหรับคนไทย ผมจะไม่ขัดขวางเลยถ้าจะศึกษา C/C++ กันให้มากขึ้น ดี ครับ ถ้าในใจ ชอบ คำว่า "ซี" อยู่แล้ว เรียนเลยครับ คุณสามารถใช้ C/C++ ได้แทบทุกงาน ตั้งแต่ งานเล็กๆ งาน Network ถึงงานบน Super Computer…

    ส่วนภาษาจำพวก งานฐานข้อมูล พวกนี้เหมาะสำหรับงานเฉพาะงานครับ เพราะคุณสามารถพัฒนาโปรแกรมเฉพาะกิจได้ในเวลาอันสั้น แต่ก็นั่นล่ะครับ ความสามารถของมันอยู่แค่เฉพาะงาน ทางเลือกที่ดีที่สุดคือใช้มันคู่กับภาษาอื่นที่เป็นหลัก เช่น ใช้ Visual FoxPro คู่กับ Visual Basic เป็นต้น ส่วนภาษา Script ก็จะอยู่เฉพาะงานอีกนั้นแหล่ะ แต่กระซิแบบดังๆ เลยนะครับ ภาษาพวกนี้ทั่ง Script (JavaScript, VBScript) เป็นภาษาที่มีความง่ายแบบสุด คุณสามารถใช่ภาษา Script เป็นในเวลาไม่นานนัก และสามารถเก็บไปเป็นพื้นฐานในการมอง การเขียนโปรแกรมได้เป็นอย่างดี สรุปกันหน่อย.

  1. หากคุณต้องทำงานในด้านสำนักงาน ต้องเจอ Office อยู่ทุกวัน ผมขอแนะนำให้คุณ ศึกษา Visual Basic ครับ ก็หาหนังสือ Visual Basic มาอ่านได้เลย ให้มองหาหนังสือที่พูดถึง Visual Basic 5.0 หรือ 6.0 นะครับ เมื่อคุณศึกษาจนรู้เรื่องแล้ว คุณจะสามารถนำมาพัฒนางานของคุณได้อย่างดี
  2. หากคุณเป็น นักศึกษา (และเรียนถึง ท่านอาจารย์ ที่จะศึกษาการเขียนโปรแกรมด้วยครับ) ผมแนะนำให้เลือก Pascal, Delphi, C/C++, Visual C++ กันไปเลยครับ จริงๆ ผมอยากวาง C/C++ ไว้เป็นที่หนึ่งแต่ด้วยเมืองไทยยังหาหนังสืออ่านได้น้อยกว่า แต่ถ้าใครที่เป็นนักศึกษา (และท่านอาจารย์ที่จะหัดเขียนโปรแกรม) ถ้าเลือกภาษา C/C++ ผมสนับสนุนเต็มที่ครับ
  3. คุณต้องทำใจกับเวลา สัก 6 เดือนกว่าคุณจะเก่งนะครับ ไม่ว่าคุณจะ อ่านหนังสือเอง หรือไปอบรมก็ตาม เวลาประมาณ 6 เดือน นี่กับกำลังดีครับ หากคุณ หัดเขียนโปรแกรมอยู่สม่ำเสมอ และศึกษา ตลอด 6 เดือนล่ะก็ คุณสามารถเป็น โปรแกรมเมอร์ชันดีได้เลยที่เดียวครับ
  4. หากมีปัญหาอะไร เช่น เลือกหนังสือไม่ถูก (ยอมสักหน่อยนะ) งงกับปัญหาเวลาหัดเขียนโปรแกรม ก็เมล์ หรือใช้บริการ Webboard มาปรึกษาได้เลย ทั้งที่ ThaiDEV.COM เอง, PAIWEB ของผม, และอีกหลายๆ แห่งที่พร้อมบริการด้านนี้ครับ สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกท่านได้เป็น โปรแกรมเมอร์กันสมใจนะครับ

    ผมและโปรแกรมเมอร์อีกหลายๆท่านพร้อมเป็นกำลังใจอยู่เสมอครับ มีปัญหา ข้อสงสัยอะไรก็ติดต่อมาสอบถามกันได้ ครับ จะเมล์ หรือ Webboard ก็ได้ ขยันถามกันด้วยนะครับ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว บทความชิ้นนี้ยาวมาก เกือบ 10 หน้าเอกสาร หากท่านใดต้องการในรูปเอกสาร Word (Word97) ก็ไปหาโหลดกันได้ที่ PAIWEB นะครับ… ผมหวังว่าบทความฉบับนี้จะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกๆ ท่านได้นะครับ…

"ขอเพียงคุณตั้งใจ ไม่ทอดทิ้งความตั้งใจอันนั้น ไม่หวังว่าได้ได้รับคำสรรเสริญจากใคร เป็นตัวขอตัวเอง ปลายทางที่สดใสอยู่ไม่ไกลจากคุณครับ…"

นายติน (นายไพบูลย์ ดอกไม้)

PAIWEB: Public Anchor Information

E-mail: [email protected]

ICQ UIN: 30230036


คําแนะนําจากผู้อ่านบทความนี้

ต้องขอชมเลยละค่ะ ว่าเป็นบทความที่ดีมากๆ หลังจากที่อ่านบทความอีกบทหนึ่งที่อยู่ก่อนหน้านี้ ซึ่งค่อยช้างให้ความรู้สึกในแง่ลบและก็ท้อใจพอสมควร แต่พออ่านจบทำให้รู้เป้าหมายในการเขียนโปรแกรม และก็เปิดกว้างมากขึ้น(ให้กำลังใจด้วย) ขอบคุณมากค่ะที่สละเวลามาเขียนบทความดีๆแบบนี้ให้ผู้ที่ต้องการขนขวายความรู้ได้อ่าน
from : KKU.physics

เจ๋ง พูดได้คำเดียวว่า เจ๋ง เมื่อรวมกับบทความที่แล้ว คือ เจ๋งที่สุด บทความที่แล้วคือให้คุณสำรวจตนเองว่าต้องการเป็o Programmer หรือไม่ ถ้าต้องการเป็นก็มาอ่านบทความนี้ นับว่าเป็นภาคต่อที่สมบูรณ์
from : Maxmue

ยังอ่านไม่จบเลย ง่วงจังเลย แต่ทำไงได้เพื่อนผมอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ เลยต้องอ่านไปฝากกันบ้าง
แต่ก็ดีครับบทความนี้ ดีมากเลย
from : อุ้ย

ยังจับต้นชนปลายอยู่เลย เอาไงดีเรา
from : กาย

ดีครับ ผมยอมรับว่าคุณแนะนำได้ดีมากสำหรับ
ผู้เริ่มต้น แต่ผมคิดว่าคุณหลงตัวเองมากไป
และมีข้อนึงที่ผมไม่เห็นด้วย นั่นก็คือ คุณบอกว่า

\\"ไม่ต้องมาให้ความสำคัญกับการเขียนโปรแกรมบน Dos ให้มากมาย มันก็ขึ้นกับการศึกษาของคุณด้วยครับ เช่น ถ้าคุณ ศึกษา Visual C++ ความรู้โดยบริยายก็จะทำให้คุณรู้เนื้อหาที่เกียวกับการเขียนโปรแกรมบน Dos บ่างเล็กน้อยที่จำเป็น แล้วเมือคุณศึกษาไป คุณก็จะได้เก็บเนื้อหาไปเองทีล่ะนิด\\"

ผมเห็นด้วยครึ่งหนึ่งเท่านั้น ผมถามหน่อยคุณอง
ก็เคยเขียนโปรแกรมบนดอสใช่ไหม
ถ้าคุณไม่เคยเขียนโปรแกรมบนดอสคุณจะเขียนโปร
แกรมบนวินโดวส์ได้ขนาดนี้ไหม
ผมคิดว่าการเขียนโปรแกรมบนดอสจะช่วย
พัฒนาการคิดแบบ algorithm ได้อย่างง่ายและเร็ว
ผมเคยได้ยินแต่ว่าให้เริ่มจากเขียนโปรแกรมบน
ดอสก่อนแล้วค่อยมาเขียนบนวินโดวส์
เมื่อก่อนผมก็เคยคิดอย่างคุณว่าทำไมต้องล้าหลังไป
เรียนดอสด้วย แต่ตอนนี้ผมเข้าใจว่าทุกอย่าง
ต้องมีรากฐาน ทีละขั้นตอน ผมไม่เถียงที่คุณอาจ
บอกว่ามีบางคนที่ไม่เคยเขียนบนดอสมาก่อน
ยังสามารถเขียนบนวินโดวส์ได้และดีด้วย
แต่ผมถามคนๆนั้นว่า เขารู้เรื่อง stack,list,array
queue,recursive มากน้อยแค่ไหน เขาจะตอบ
ยังไง

from : kim

อ่านแล้วดีมากเลยครับ
from : yuth

เห็นด้วยกับคุณ Kim เพราะถ้าคุณไม่ศึกษา
การเขียนโปรแกรมบน Dos แล้วจะเข้าใจการเขียนโปรแกรมบน Windows อย่างลึกซึ้งอย่างไร
หรือถ้าคุณเป็นนักเรียนแล้วไปแข่งขันเขียนโปรแกรมแก้ปัญหาโจทย์ ซึ่งเน้นอัลกอ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า โปรแกรมบน Dos กับ Windows อย่างไหนมันจะง่ายกว่ากัน

from : คนอยากเป็นเหมือนกัน

Text Book C/C++ ที่ดีมากๆ ที่เคยอ่านชื่อ ? เขียนโดยใครกรุณาบอกมาสัก 2 เล่ม mail บอกด้วย
from : [email protected]

ผมว่าบทความนี้เป็นบทความที่ดีนะครับ แต่ก็เห็นด้วยกับคุณ Kim เพราะระบบปฏิบัติการ Windows ที่คุณๆใช้กันอยู่ก็มีพื้นฐานอยู่บน DOS นั่นเอง ถ้าไม่เชื่อ คุณลองลบไฟล์ Command.com ดูสิครับ รับรองว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณจะทำงานไม่ได้แน่นอน
from : algo

เห็นด้วยกับคุณ kim ครับปัจจุบัน กระแส windows มันแรงมาก จนกระทั่งระบบ dos ถูกมองข้ามไป ใครพูดเรื่อง dos ในปัจจุบันมักจะถูกมองว่าเชย การเรียนการสอนในโรงเรียนก็ลดน้อยถอยลงไปมาก จริงแล้วการจะผลิตซอฟท์แวร์อะไรก็ตามจะต้องสร้าง source code แบบ text ทั้งสิ้นถึงแม้นว่าบางโปรแกรมจะเห็นเป็น windows ก็ตาม รากฐานโค้ดพวกนี้เป็น text ทั้งสิ้น ถึงแม้ 00P รากฐานหรือโค้ดเริ่มต้นไม่ได้เป็น graphic ที่เราเห็นหรอก ที่ยังยึด dos เพราะเห็นว่าการใช้คำสั่งของ dos เป็น text ทั้งสิ้นเลย ทำให้เราเข้าใจกลไกลการทำงานของโปรแกรมดีกว่า อย่างไรก็ตามยอมรับว่า windows ใช้งานง่ายกว่ามาก เหมาะกับนักใช้งาน หรือ user และที่สำคัญ ถือว่า windows เป็น นักฆ่า โปรแกรมเมอร์ ที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม เรียกกันว่า พอเริ่มจะชำนาญกับ Visual Basic หรือ Delphi version XX สักปีกว่า ๆ windows เริ่มเปลี่ยน โปรแกรมภาษาเหล่านี้ก็ปรับตามไปด้วยจนกระทั่งโปรแกรมเมอร์เหล่านั้น ปรับตามไม่ทันเรียกกันว่าของเก่ากำลังจะชำนาญ ของใหม่ก็ปรับเปลี่ยนแล้ว อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า ฆ่า ก็เรียกว่า ฝังโปรแกรมเมอร์ แหม ความคิดของไอ้ Bill gate นีเฉียบแหลมจริงนะครับ คุณ kim
from : ไทยเดิม

ผมชอบอาจารย์ครับ อยากให้อาจารย์ผมเหมือนอาจารย์จังครับ
from : ชีวะ

ที่อ่าน ๆ มาผมก็ยังมองไม่เห็นทาง
ตอนนี้เลยว่า ถ้าผมจะทำโปรแกรม
ที่ใช้งานง่าย ๆ แบบ Windows ของท่าน Bill Gate
ให้ชื่อ Doors ก็แล้วกันทำยังไงดี
หรือชาตินี้คงหมดโอกาส ไม่รู้ว่าหวังสูงเกินไปหรือเปล่า
เฮ้อ ....
from : PEGASUS

อาจารย์ครับเมล์หาอาจารย์แล้วมันไม่ไปน่ะครับ
ยังไงขอบเมล์อื่นได้ไหมครับ
[email protected]
from : ชีวะ

verygood
ผมว่าดีมากเลยครับ
ทำให้คนที่อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ มีกำลังใจอยากเป็นมากขึ้นจริงๆๆครับ
from : TNAtorn

ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ Kim นะครับ ผมว่างานเขียนโปรแกรม ก็เหมือนกับหัดขับรถ การที่คุณจะขับรถยนต์เป็น ก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่
จักรยานใช่มั้ยครับ เหมือนที่มีคนบอกว่า จะเขียนโปรแกรม ต้องเริ่มจากภาษา Basic ผมว่าเรื่องพวกนี้เป็นพวก First Image เรารู้และเราเข้าใจ
ในการที่จะเขียน ก็น่าจะทำได้ ผมเขียนมาทั้ง DOS และ Windows ผมว่าบน DOS ผมก็พอสมควร แต่พอบน windows ผมต้องเริ่มนับที่ 1 ใหม่ ผมไม่ได้
พูดถึงเรื่องแนวคิดในการเขียนนะครับ ผมพูดถึงเรื่องการใช้ทรัพยากรของระบบปฏิบัติการนั้นๆ ที่เขียนมานี่ไม่ใช่ต่อว่านะครับ แต่ไม่อยากให้คนที่กำลังเริ่ม
ต้องลังเลนะครับ
from : Kaman Rider

.ต่างคนก็ต่างความคิดครับ ผมก็คนหนึ่ง
1..ถ้าคุณจะเขียนเป็นงานอดิเรกหรือนักศึกษา ควรใช้อะไรที่มันง่ายจะได้มีกำลังใจ ไม่ต้องสนใจอะไรที่มันลึกนัก มันไม่จำเป็น เพราะคุณไม่ได้มายึดอาชีพนี้
2.ถ้าคุณคาดว่าจะเป็นโปร...ในอนาคต ควรหาคนสอนครับจะได้เริ่มอย่างถูกวิธีและไม่หลงประเด็นว่าข้านี่แน่แล้ว ต่อจากนั้นก็ต้องศึกษาด้วยตนเองต่อไป ซึ่งมีเครื่องมือมากมาย internet ,หนังสือ และควรพัฒนาภาษาไปพร้อมกัน เพื่อที่จะได้อ่านTEXTได้ เขียนคำถามถึงผู้เชี่ยวชาญในWEBได้ อ่านเข้าใจ ต่อจากนั้นก็ต้องค้นคว้าหาว่าพวกที่เขาประสพความสำเร็จระดับโลกทำอย่างไรแนวไหน เครื่องมือพัฒนาอะไร เห็นไหม๊ว่า มันหนัก และต้องอึด แต่คุณทำได้ แน่ ถ้าคุณเชื่อมั่น
3.ถ้าคุณต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ
3.1 ต้องทำตามที่ บริษัทกำหนด ไม่ว่า เครื่องมือ OS ระเบียบการเขียน งานศิลป์ ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยเวลา และลูกค้าเป็นหลัก
3.2 เขียนอะไรทำอะไร อย่างไรตามใจไม่ได้ ดังนั้นจึงควรมุ่งมั่นไปตามนโยบาย แล้วใช้เวลาว่างมาพัฒนาตามที่ ท่านทั้งหลายแนะนำมา
4.ถ้าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์อิสระ รับงานทั่วไป
4.1 คุณต้องสร้างผลงานไห้ดี เร็ว สวยงาม มีเอกลักษณ์ ของตัว ใช้งานง่าย คำแนะนำ เวลาใช้ และสามารถตั้ง ตัวเลือกในการใช้งานได้
4.2 ทำเอกสารให้เป็นที่ประทับใจ เช่นคู่มือ หลักการทำงานเป็นขั้นเป็นตอน เข้าใจง่าย และบอกถึงการแก้ใขเมื่อมีปัญหา และออกเวอร์ชั่นแก้ไขให้ลูกค้า ข้อนี้เรียกว่าลูกค้าคือพระเจ้า
4.3ใช้เครื่องมือที่ มีคุณภาพ เช่น ขนาด,ความเร็ว,ความเร็วในการพัฒนา เข้ากันได้กับ OS นั้นๆที่ลูกค้าใช้งาน ขอเน้นว่าอย่ายึดติดกับอะไร เพราะคุณต้องทำได้หลากหลายตามงานที่เข้ามา
4.4คุณต้องมั่นดูโปรแกรมจากทั่วโลกเพื่อนำเอาจุดเด่นเหล่านั้นมาประยุกต์เป็นของคุณเอง
ผมไม่ได้อวดรู้ ผมคิดเช่นนี้ และอ่านมาเช่นนี้ ขอถ่ายทอดบางส่วนแก่ทุกท่าน
from : old man

เกิดขึ้นได้จาก ความพยายาม ความตั้งใจ ใจรัก ความอดทน สติปัญญานิดหน่อย ที่สำคัญสำหรับคนจนอย่างผมแล้ว ทนทรัพย์ครับ เงินนะครับ ไม่มีเงินซื้อเครื่องคอมถ้ามีก็ดีซิ จะได้เป็นโปรแกรมเมอร์กับเขาซักที
from : นาทครับผม (ความคิด)

เห็นด้วยกับนายตินอย่างมากเลยค่ะ
มีการให้กำลังใจผู้ที่อยากจะเป็นโปรแกรมเมอร์ และเน้นไปทางด้านความขยันและความพยายาม
และก็เห็นด้วยกับคุณ Kaman Rider ด้วยค่ะว่า
ที่ว่าขับรถเป็นไม่จำเป็นที่จะต้องเริ่มด้วยจักรยานไม่งั้นก็
ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปีถ้าเริ่มที่ dos ก่อนเหมือนที่
นายตินเขียนไว้
เพราะถ้าต่อไปโลกนี้ไม่ต้องมีจักรยานแล้ว เรายังจะหัดขี่จักรยานไปทำไม
เราแค่นำแนวคิดและไอเดียหลักการพื้นฐานที่มีอยู่นำมาใช้และประยุกต์ไปก็พอแล้ว
Thank you to naitin
from : euw

แล้วเมื่อไหร่คนไทยจะมี OS ใช้เองมั่งน๊อ!!!...
from : BoB

เห็นด้วยทั้งคู่ครับ dos ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีส่วน window ก็จำเป็นมากๆๆ ก็ควรเล่นโปรแกรม os ไป แล้วถ้ามีเวลาว่างก็ควรลองมาดู dos ครับ จะเกิดประโยชน์มหาศาล
from : eak

ทุกอย่างมันต้องมีการเริ่มต้นเห็นด้วยกับคุณ Kim และเห็นด้วยกับอาจารย์นะคะ เป็นคนหนึ่งที่คิดอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ และเรียนมาทางนี้ กำลังอยู่ปี4 เนื่องจากกระแสของการเขียนโปรแกรม for Windows มาแรงมาก จึงทำให้มองดูว่าการเขียนโปรแกรมง่ายขึ้นแต่ความจริงแล้วไม่ใช่มันเป็นการฝึกให้โปรแกรมเมอรืฉลาดน้อยลงเพราะไม่ต้องคิดอะไรมากมายจับโน่นจับนี่มาวางแล้วก็กลายเป็นโปรแกรมวะเนี่ย ยังไงก็ยังสับสนกับแนวทางของตัวเองอยู่ดี เพราะคิดว่าทำไมเราต้องเรียนในสิ่งที่ยาก มองไม่เห็นต้องใช้จินตนาการ แต่มาบัดนี้เริ่มเข้าใจว่าเป็นรากแก้วของการเป็นโปรแกรมเมอร์ค่ะ ทุกอย่างล่ะค่ะถ้าไม่มีฐานไม่มีรากหยั่งลึก แล้วมันจะตั้งอยู่ได้ยังไงล่ะคะ
from : comscistudent

รุ้สึกอยากได้กันซักจริง คำว่า Programmer เนี่ยะ
เป็นแล้วต้องเก่งจริง ไม่ใช่ แค่มี คอมฯ ที่บ้าน มี
หิ้งวางหนังสือคอมพิวเตอร์ ก็บอกว่าตัวข้านี่แหละ
Programmer ...(มั่ว)
from : Program มั่ว

ตอนแรกสับสนมากไม่รู้ว่าตัดสินใจเรียนวิทย์คอมฯ ถูกหรือเปล่า แต่ตอนนี้ \\"ต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ดีให้ได้\\"
เย้ เย้ เย้ .......
from : เด็กวิทย์คอมฯ 2

ถ้าทำตามได้ก็เขียนโปรแกรมเป็นผมเห็นด้วยพราะผมเองก็ใช้วิธีนี้เหมือนกันตอนที่เรียนอยู่ หนังสือกับเพื่อนที่เขียนโปรแกรมเป็นในภาษาต่างๆ ช่วยได้มากทำให้เรารู้อะไรมากขี้นครับ
from : Prog.

สงสัยทุกคนจะเข้าใจเรื่อง OOP ผิดกันหมดล่ะสิ(คิดกันเอาเองนะ)
from : OOP Man

พอดีกำลังตัดสินใจว่า จะเล่น Pascal C หรือว่า
Basic ดี ใจจริงอยากเล่น C มากกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเพราะไม่เคยเขียนโปรแกรมมาก่อน ได้อ่านบทความนี้แล้วก็ช่วยให้ตัดสินใจได้
from : Yok

พอดีกำลังตัดสินใจว่า จะเล่น Pascal C หรือว่า
Basic ดี ใจจริงอยากเล่น C มากกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเพราะไม่เคยเขียนโปรแกรมมาก่อน ได้อ่านบทความนี้แล้วก็ช่วยให้ตัดสินใจได้
from : Yok

สนับสนุนบทความทั้ง 2 ดีครับผม ก็เขียนควบคู่กันไปเลยดีไหมละ ทั้ง dos และ window
from : sss

เห็นด้วยกับคุณตินครับ เป็นบทความที่ดีครับ ให้กำลังใจผู้อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ดีครับ สำหรับผมเป็นมา 20 ปี ผมไม่เห็นว่าจะเป็นอยากเลยครับ

สำหรับ จะรู้ Dos หรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาของการเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ

ถ้าคุณมองว่า Dos เป็น OS ตัวหนึ่ง และ Windows เป็น OS อีกตัวหนึ่ง

ถ้าคุณมีความรู้เกี่ยวกับ OS ตัวหนึ่งก็สามารถช่วยพัฒนาความรู้สำหรับการเรียนรู้อีก OS หนึ่งได้
เช่นคุณมีความรู้เกี่ยวกับ DOS ถ้าคุณต้องการศึกษาเกี่ยวกับ UNIX ความรู้เกี่ยวกับ Dos ก็เป็นพื้นฐานให้คุณได้ แต่จำเป็นไหมที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ Dos ถ้าคุณจะใช้ UNIX

Windows ก็เหมือนกันครับ เป็น OS ตัวหนึ่ง ซึ่งถ้าคุณไม่มีความรู้เกี่ยวกับ Dos เลย คุณก็ยังสามารถใช้งาน windows ได้ดี ขอเพียงให้คุณมีความรู้เกี่ยวกับ OS ของ Windows อย่างเดียวก็พอ ซึ่งมีอะไรหลายอย่างคล้าย Dos แล้วจะไปศึกษา Dos โดยตรงทำไปล่ะครับ

สำหรับความรู้เกี่ยวกับ อัลกอริธึม ไม่ได้อยู่ที่ os อย่างเดียวครับ ใน UNIX ใน WINDOWS หรือ ใน OS ต่างๆ ก็มีรูปแบบของตัวเอง อัลกอริธึม เป็นรูปแบบการเขียนโปรแกรม วิธีการแก้ปัญหา การจัดรูปแบบคำสั่ง ต่างๆ อยู่ที่ว่าคุณสร้างรูปแบบของคุณเป็นอย่างไร ไม่ว่าคุณจะจับ คอมโปแนนท์ มาเรียงกันอย่างไร หรือเขียนคำสั่งขึ้นมาเอง ก็เป็น อัลกอริํธึมเหมือนกัน จะดีไม่ดีอยู่ที่ทำได้ตรงตามความคิดที่ต้องการหรือเปล่าเท่านั้นครับ
from : มนุษย์ยุค 20 ปัก่อน

สำหรับการแข่งขันเีขียนโปรแกรมทีเน้น อัลกอริธึม เป็นข้อจำกัดครับในการแข่งขันครับ ไม่ไ้ด้ใช้งานจริง มีประโยชน์แค่ในการแข่งขันเป็นการพิสูจน์ว่าคุณรู้มากน้อยแค่ไหน
from : มนุษย์ยุค 20 ปีก่อน (ต่อ)

พมคิดว่าการเป็นโปรแกรมเมอร์นั้นมีอยู่หลายระดับ กว่าจะเป็น Programmer ที่ดีได้ถ้าคน ๆ นึงสนใจที่จะทำ และมีความตั้งใจจริง การเริ่มจากอะไรสักอย่างก็จะเป้นส่วนช่วยให้เค้าได้ก้าวเข้าไปในสิ่งนั้น ไม่ว่าสิ่งที่เค้าทำไปนั้นถูกหรือผิด แต่ประสบการณ์เหล่านั้นเหละที่จะช่วยให้เขามีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น การที่เราจะเลือกใช้ภาษาใดในการเขียนโปรแกรมนั้นก็ขึ้นอยู่ว่าเราสนใจด้านใหน ก็อย่างที่ท่านอาจารย์ได้แนะนำไปแล้ว เพราะว่าแต่ละภาษาที่ใช้ Progam นั้น จะมีจุดดีและจุดด้อยในตัวของมันเอง ฉะน้้นเราไม่ต้องไปกังวลว่าจะเริ่มจากใหนแล้วถ้าเริ่มแล้วมันจะดีมั้ย เพราะส่วนมากคนเราก็เพียงอยากเป็นในสิ่งที่ทำให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนมีความสามารถ(นั้นคือการยอมรับทางสังคม) แต่ว่าถ้าเราได้ไปถึงระดับนึงแล้วนั้นคือโปรแกรมเมอร์ที่แท้จริง เราจะต้องเป็นทุกภาษาเพื่อที่จะนำมันมาประยุกต์ใช้งานตามจุดเด่นของมัน
อันนี้ขอเสริม เนื่องจากเท่าที่อ่านมาพมรู้สึกว่าหลายคนสับสนเกี่ยวกับคำว่า oop แต่ถ้าพมเข้าใจผิดอย่างไรก็ขอโทษด้วนน่ะครับ การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุนั้น ไม่ใช่ว่าวัตถุที่กล่าวถึงกันนั้นจะเป็นลักษณะรูปภาพหรือไอคอนที่มีปรากฎให้เห็น แต่เป็นการเขียนโปรแกรมที่มีลักษณะเป็นโมดูล คอมโพเนต์ คลาส หรือ ฟังก์ชั่น แล้วแต่ว่าใครจะเรียกอย่างไร ซึ่งเราจะสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาใช้งานได้ แล้วสามารถนำกลับมา reuse ใช้ใหม่ได้ ในตอนนี้ได้มีการนำเอาแนวความคิด oop มาใช้งานกันมากขึ้นก็มีมาตราฐานการเขียนอัลกอรึทืมในการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุนี้ เช่น UML(Unified Modeling Language) ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ไว้ใช้เขียนโปรแกรมแบบ oop ขอคุณครับที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้อาจไม่ได้ความก็ขออภัยมาณที่นี้ด้วยครับ
from : ไม่รู้เหมือนกัน

สุดยอดเลยครับ สรุปได้ ดีจริงๆ แนะนำดีมาก
กว่าที่ผม จะได้อ่าน บทความนี้ ผมเข้าใจ ก่อนแล้วเสียดาย ไม่ได้อ่านก่อนหน้านี้ จะได้ทุ่นเวลาผม กว่าที่ผม จะรู้ ใช้เวลาไปสองปี นี้ถ้าได้อ่านนี้ก่อน ป่านนี้ ไปไกลแล้ว
from : วิโรจน์

ขอบคุณมากครับผม ขอบคุณที่เขียนบทความนี้ให้อ่านครับเป็นบทความที่ดีทีเดียวเลย เดียวผมคงมีเรื่องอยากถามแน่นอนเลยละครับ
from : [email protected]

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่อยากเป็นโปรแกรมเอร์
ผมพยายามที่จะหาความรู้ที่ว่าแต่ละภาษามีเอาไว้ทำอะไรผมหาเท่าก็ไม่เจอมาเจอที่นี่ ทำให้ผมเข้าใจมาก ทำให้ผมตัดสินใจได้ว่าผมจะต้องทำอะไรบ้างในการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ขอบคุณมากครับที่เขียนบทความนี้ขึ้นมา
from : [email protected]

ผมเรียนวิทย์คอมอยู่ปี1ตอนแรกคิดว่ายากแต่ตอนนี้คิดว่าไม่ยากถ้าเราตั้งใจพอได้อ่านบทความเป็นโปรแกรมเมอร์ด้วยลำแข้งแล้วก็ทำให้มีกำลังใจเพราะเรามีโอกาสได้เรียนเราต้องทำเรียนให้เต็มที่และต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งให้ได้
ขอบคุณซิก
from : zic

ทำด้วยมือ คิดด้วยสมอง บวกกับความรักสิครับ

โปรแกรมต่างๆ ไม่ได้สำเร็จด้วยปาก
from : ezzz

That\\\'s very good,...I pretty love to read all of these comment.
Thank you very much.
from : XYZ.com

ผมได้อ่านข้อความของอาจารย์แล้ว มีความรู้สึกว่า
อาจารย์ได้ให้พลังอันยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ที่ทำให้ผม ต้องมีความรู้สึกว่า ต้องสู้ ถึงจะชนะครับ ขอขอบคุณ ครับ
from : นายสำเริง แก่นเมือง

สวัสดีครับ ทุกท่านที่ได้อ่านบทความของผม บทความเดียวบทความนี้ ที่นี้.. ผมทิ่งห่านจากวงการไปนานหน่อยครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่ยอมรับในบทความของผมครับ.. ขอตอบ เรื่องเขียนบน DOS นะครับ.. จริงอยู่ที่ฝึก Logi ได้ง่ายกว่า.. ถ้ามีเวลาว่างมากพอที่จะลงในรายละเอียดได้การเริ่มจาก programming บน DOS นั้นก็ดีครับ แต่ถ้าไม่ว่างอะไรมากนะ เล่นบน Win ไปเลยครับ.. คุณก็ฝึก Logi ใน Windows ได้เหมือนกัน เพียงแต่การ Compil มันยุ่งกว่าหน่อย (และม่ OOP มารกตา) ผมไม่ลืมว่าผมเริ่มจาก DOS ก่อน.. แต่ก็อย่าลืมว่า C/C++ บท DOS กับ Visual C++ บนWin นี้ต่างกันคนล่ะเรื่องเลยครับ, ส่วน Pascal กับ Delpihe นี้ยิ่งต่างกันไปกันใหญ่ ทั้งๆมี่พื้นฐานมาจากที่เดียวกัน... มันสำคัญอยูที่การค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ..
from : นายติน (ไพบูลย์ ดอกไม้)

ความคิด + วิธีการ + SourchCode สำคัญที่สุดประยุกต์สิครับ
from : FreshZ

ความคิด + วิธีการ + SourchCode สำคัญที่สุดประยุกต์สิครับ หนทางไปสู่เส้นชัยมี 108-1009 วิธีคุณจะเลือกไปทางไหนให้เร็วที่สุด (หนทางแห่งโปรแกรมเมอร์)
from : FreshZ

เวรกรรม
from : เวรกรรม

เมื่อตอนที่เป็นนักศึกษาเรียนคอมพิวเตอร์ (วิทย์-คอม) สมัยเมื่อ10 ปีก่อน สาขานี้ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก การค้นหาข้อมูลก็ยังไม่แพร่หลายมากนัก ทำให้ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเขียนโปรแกรมได้ไม่เก่ง ก็เลยคิดว่าตัวเองไม่สามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกินความสามารถของตัวเอง แต่พอได้มาทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์แล้วทำให้รู้ว่าจะเขียนได้หรือไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับว่าเราอยากทำมันหรือเปล่า โปรแกรมแรก ๆ ที่คุณเพิ่งเริ่มเขียนจะออกมาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอคุณศึกษาคำสั่งและความสามารถของภาษามากขึ้นคุณจะรู้ว่ามีอะไรที่ท้าทายความสามารถให้คุณได้คิดและทดลองทำอีกเยอะ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่เริ่มลองเขียนโปรแกรมค่ะ
from : ปู

อย่างน้อยผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเป็นนักเขียนprogram
บทความนี้ได้ให้กำลังใจผมอย่างมากทีเดียวทำให้ผมสามารถที่จะจับทางถูกได้ว่าผมควรจะเริ่มทอย่างไรดี
from : [email protected]

ผมเรียนวิทย์-คอมพ์มาก็สองปีแล้วครับผมเขียนโปรแกรม
ที่พอรู้ก็ c,pascal ,Basic ผมไม่เก่งเลยซักภาษา จนผมท้อไม่อยากเป็นโปรแกมเมอร์ แต่พอผมได้มาอ่านบทความของอาจารย์ ทำให้ผมมีไฟที่จะเป็นโปรแกมเมอร์
ขอบคุณอาจารย์มากครับ
from : เอ็ดดี้ :ราชภัฏอุดร

ผมคิดว่าอีกหน่อยโปรแกรมเมอร์คงจะเต็มเมืองเป็นแน่...ไม่ว่าคุณจะทำอะไร โบราณท่านว่าไวขอให้มีความตั้งใจที่แน้วแน่แค่นั้นคุณก็จะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด ...เอว้ง ... :)
from : ^O^mega

ขอขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ที่อุตส่าห์สละเวลามาเขียนให้ความรู้ในการให้แง่คิดอีกแขนง ซึ่งผมได้อ่านทั้ง 2 บทความมันเป็นบทความที่ดีมากเลยครับ สุดท้ายต้องขอบคุณอีกครั้ง
from : Nat:RIPA

เป็นบทความที่ดีมากครับ และเป็นแนวทางที่ถูกต้องครับ เพราะผมก็ศึกษาด้วยตัวเอง แต่ของผมจะไม่เหมือนกับบทความนี้ทั้งหมด สำหรับคนที่กำลังศึกษาอยู่อย่าคิดว่ามันยากครับ ผมจบแค่ ม.ศ.3 ความรู้ภาษาอ.แค่หางอึ่ง แต่ผมใช้วิธีศึกษาด้วยตนเอง ให้เวลากับมัน(คอมฯ) กินนอนกับมัน แล้วทำความเข้าใจกับมัน แล้วคุณจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องยาก เพราะคอมฯรู้จักแค่ 0 กับ 1 เท่านั้น คอมฯน่ารักกว่าแฟนเราอีก สั่งอย่างไรก็ทำอย่านั้น (คำสั่งต้องถูก ไม่มีบั๊กนะ) ไม่มีเถียง ไม่เกี่ยงงอน ไม่โยกโย้ ไม่มีเดี๋ยวก่อน คุณว่าจริงไหม ผมใช้เวลาอยู่ 1 ปี สามารถรับงานเขียนโปรแกรมได้แล้ว ยังเคยรับงานเขียนโพรเจคของนักศึกษาวิศวะคอมฯ ปี 4 เลย ทุกวันนี้ผมทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ใน บ.ชื่อดังแห่งหนึ่ง ทั้งๆที่ผมไม่มีปริญญาสักใบ แต่เป็นเพราะว่าเราทำได้ และทำได้ดี เพราะเรามีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ และมีความรัก มุ่งมาดปราถนาที่จะเป็น Programmer ที่ดีให้ได้
ผมอยากฝากถึง Programmer บ้างท่านที่มักจะเป็นคนหวงความรู้ คิดว่ากว่าข้าฯจะรู้ ข้าฯศึกษามาแทบตาย อยู่ๆจะให้เอ็งได้ยังไง ควรจะเปลี่ยนความคิดได้แล้วนะครับ เพราะว่าวันหนึ่งข้างหน้าในอนาคตท่านอาจจะมีโอกาสที่จะต้องถามคนอื่นบ้าง แล้วท่านจะรู้ว่า เวรกรรมมีจริง เหมือนตอนที่ผมกำลังศึกษาด้วยตนเอง งมเอาจากโปรแกรมของฝรั่ง รู้บ้างไม่รู้บ้าง พอติดก็ไปถามโปรแกรมเมอร์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าของหยั่งงี้ใครเค้าสอนกันฟรีๆ ผมก็ไม่ว่าอะไรเสียเวลาลองผิดลองถูกอยู่เกือบเดือน แต่ผลที่ได้กลับมากกว่าคำตอบที่เราต้องการครั้งแรก เพราะได้ลองสารพัดเราก็ได้ประสบการณ์ แล้วเมื่อเวลาผ่านมาประมาณ 3 ปี โปรแกรมเมอร์ท่านนั้นก็ได้มาถามผมเพราะท่านเขียนโปรแกรมติดบั๊กแล้วแก้ไม่หาย เอาโปรแกรมมาให้ผมดู ผมก็ตอบไปว่า ผมจะไปรู้ได้อย่างไร(ทั้งๆที่รู้ว่าแกผิดตรงไหน) ก็คุณไม่ยอมสอนผมๆก็เลยยังโง่อยู่ แล้วผมจะเอาความรู้ที่ไหนมาช่วยคุณละครับ
แต่กับเพื่อนโปรแกรมเมอร์คนอื่น เวลาผมติดไปถาม เขาก็อธิบายให้ เวลาเขาติดมาถามผมๆก็อธิบายให้ เหมือนแรกเปลี่ยนความรู้กัน ทำให้สามารถพัฒนาตัวเองไปด้วยกัน เพราะไม่มีใครรู้ทุกอย่างหรอกครับ
ขอขอบคุณ นายติน (นายไพบูลย์ ดอกไม้) ที่เขียนบทความดีๆ มาให้อ่านครับ ถ้าจะขออนุญาติคัดลอกบทความนี้ไปเผยแพร่ ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่ครับ
from : โปรแกรมมั่ว

ผมว่าว่านาคิดจะเก๋งตัวใหนก็ Main ไปเลย มัวร์คิดมากอยู่ได้ หากคุนสนใจและมองว่าอนาคตมันรุ่งแล้ว อีกอย่างดูว่าสามารถศึกษาอะไรต่อได้อีกเปล่าก็เทานั้น ผมว่า Java น่าสนมากในสมัยนี้และอนาคต
เพราะว่ามันใช้เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยมีมา(กับ C/C++)
และสามารถทำงานข้ามเพลตฟอร์มได้ดี
พอดี Java เขาเก๋งบน Internet
รวมทั้งอนาคตเขาวางแผนวางโครงสร้างกับ Databse ยุคใหม่ OODBMS น่าสนใจมากกับเทคโนโลยีของฝรี่งเนี่ย
from : Kpw

ผมคิดว่าการที่เราจะทำอะไรได้นั้น มันต้องเริ่มจากความชอบก่อนครับ ตามมาด้วยความอดทน และ ขยัน
ผมชอบบทความของอาจารย์นะครับ เพราะเป็นการให้กำลังใจกับคนหลาย ๆ คน เพราะคนส่วนมากมักจะคิดกันว่าการเขียนโปรแกรมต้องเริ่มจาก dos ก่อน ทำให้การเขียนโปรแกรมดูเป็นเรื่องน่าเบื่อเพราะการใช้ computer
สมัยนี้ก็ใช้ os เป็น window กันหมดแล้วและการเขียนโปรแกรมใน stye ของ window กับ dos ก็ต่างกันพอสมควร ผมจึงคิดว่า การเริ่มต้นการเขียนโปรแกรมบน window ก็เป็นการเิริ่มต้นที่ดีครับ แต่ต้องมีความ ชอบ
อดทน และขยัน ครับ
from : ิblackcat

ก็ต้องขอขอบคุณนะครับสำหรับบทความที่ดีๆ ที่ท่านเขียนให้เราได้อานกัน ทั้งเป็นแนวทางในการที่จะเขียนโปรแกรม และการแนะนำ รวมทั้งข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเราครับ ก็อยากให้มีการบอกเว็ปไซต์ที่เกี่ยวข้องที่สอนการเขียนโปรแกรมต่างๆเพิ่มเติม จะดีมากครับ
from : ed - kku

อยากให้มีคนอย่างคุณโปรแกรมมั่วเยอะๆเนอะ
from : nanch

เขียนได้ดีมากๆนะครับ  ขอชมอย่างจริงใจ แต่คุณเน้น VB กับ Borland จังเลย มันก็ไม่เสียหายอะไร แต่ VB มันก็มีค่าลิขสิทธิ์หนะครับ ใช้แผ่นเถื่อนก็ไม่ดี เพราะมันเหมือนขโมย ถ้าซื้อไลเซนส์จากไมโครซอฟท์ก็แย่อีก เงินทองมันรั่วไหล ก็อยากจะฝากให้ใครที่กำลังเลือกภาษาโปรแกรมมิ่งก็ไปพิจารณาให้ดีนะครับ C/C++ มีคอมไพเลอร์ฟรี Java ก็ฟรีอีกเหมือนกัน แล้วพวกบริษัทซอฟท์แวร์รุ่นใหม่ๆก็ชอบสองภาษานี้กันมาก ตามความเห็นส่วนตัวก็อยากจะแนะนำให้เล่น Java แล้วตามด้วย C/C++ ครับ เพราะอย่างที่ความเห็นข้างบนๆบอกมาว่า C++ นี่มันหลวมมากๆ   มันมีฟีเจอร์สารพัดให้คุณลองผิดลองถูก (มักจะผิด)   จะเขียนให้ได้ดีคุณต้องสร้างสไตล์ของตัวเองขึ้นมา แต่ช่วงที่คุณเริ่มต้นหัด สไตล์ของคุณจะยังไม่ตกผลึก ถ้าหัดกับ Java ไปสักพัก คุณจะทราบว่าโปรแกรมที่ดีไซน์ไว้ดีมันหน้าตาเป็นไง    ต่อไปคุณจะสามารถเอาบุคลิกของคุณไปโยงกับการเรียน  C++  ได้  เพราะสองภาษานี้ซินแทกซ์คล้ายกันมาก นับว่าได้เปรียบ อย่าเชื่อเด็ดขาดว่าต้องเรียน  C++ ก่อน Java เพราะคุณจะตายก่อน และ Java เป็นภาษาที่ไม่ยากเลย แม้กฏเกณฑ์มากพอสมควร แต่มันเป็นภาษาที่ดีไซน์ได้ดีมาก รายละเอียดเล็กๆน้อยๆลงตัวไปหมด  แล้วคุณจะเห็นว่ามันเป็นภาษาที่เมคเซนส์มากๆ

ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ใครทำแค่ไหนได้แค่นั้น ขอให้ทุกคนโชคดี
from : the apprentice paragon

บทความนี้ มีผลกัยผมมากเลยครับ ชอบจิงจิง ขอบคุณมากครับ
ผม ศึกษา ภาษา บน Win อยู่ 2 ภาษา ครับตอนนี้ คือ VB แล้วก้อ Delphi
ปัญหา ของ 2 ภาษา นี้มีอยู่ว่า
Delphi - เป็น ภาษา แรก บน Win ที่ผมคิดจะเริ่ม เขียน เพราะ เห็นเขาบอกว่า ใช้พื้น ฐานจาก Pascal แต่การที่จะศึกษาภาษานี้ให้ลึกซึ้ง ให้เหมือน Pascal นั้น ลำบาก เพราะว่า มีตำรา หรือการสอนตามสถานที่ต่างๆ น้อย ผมยังต้องอาศัย ถามผู้ เชี่ยวชาญ ทาง Web บ่อยๆ นั่น คือ ตามความคิดผมนะครับ ผมคิดว่า ถ้า ไม่ถาม คนที่ เก่ง Delphi มากมาก ผมคงเขียน ได้ไม่ดี ดังนั้น ผมจึงคิดที่จะเปลี่ยน ไปใช้ VB
VB - มีตำรามาก แต่ คิดดู คุณต้อง เข้าใจโครงสร้าง ของภาษา รวม ไปถึง คำสั่ง แล้ว คอมโพเนน ต่างๆ ต้อง ใช้งานได้ อย่าง ชำนาญ เพราะ ภาษาใช้กันเยอะ เหมือนกับเหลือ ที่ว่างไว้ให้กับผู้ที่ สามารถ Advance เท่านั้น หรือ คุณคิดว่ายังไง
from : RU100

ผม คิดว่า ภาษา บน DOS เป็น มาตรฐานหนึ่งในการเรียนรู้นะครับ แต่ในปัจจุบัน มันสามารถ นำไปใช้ได้น้อยลง นอกเสียจา คุณ เขียน ภาษา เครื่องไปเลย เท่านั้น เหมือนกับคุณเป็นผู้พัฒนา ภาษา หรือ ระบบ อันนี้จะใช บน DOS เยอะ
แต่ ถ้า ภาษา บน DOS มันไม่มีความสำคัญแล้วจริงๆ ทำไมยังมีการเรียนการสอน อยู่ ในมหาลัยยัง เริ่มต้นที่ DOS จริงไหมครับ แต่ ภาษา บน Win มันมีความง่าย ไงครับ ทำให้ เริ่มเขียนได้ทันที เพราะ มี เครื่องมือให้ใช้อยู่แล้ว
เพราะ ฉะนั้นผมคิดว่า ถ้าจะ เขียนภาษา เพื่อใช้งาน ไม่จำเป็นต้องเริ่มจาก Dos ก้อได้ครับ
แต่สำหรับคนที่ เรียน Com Sci ผมว่า มันจำเป็นนะครับ เราต้องเข้าใจมัน ว่า Structure หรือ Data type มันเป็นยังไง เพื่อไว้ใช้ในการสอบครับ อิอิ
from : RU100(ต่อมั่ง)

the apprentice paragon กับ RU100 มาเรียน CT105 กับผมดีก่านะ อิ..อิ..
อ้อ the apprentice paragon อย่าลืมชวน purebad มาด้วยล่ะเดี๋ยวเค้าจะเลียใจไม่รู้ด้วยนะ อิ..อิ..
from : CT105-F ตลอด(4)ปี

แล้ว Visual Foxpro ไปไหนหมดละครับ
from : kosit

ครับ ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน

ผลงานของเรา อธิบายอะไร ๆ ได้ดีว่าให้เราอธิบายเรื่องกรรมวิธีที่มา ถูกไหมล่ะครับ..

คนประเภทยึดติดวิธีการ ส่วนมากจะสอนคนอื่นได้ แต่ถ้าให้ทำเอง...

ผมล่ะปวดหัวจริง ๆ มาเถียงกับเรื่องโปรแกรมใน Dos กับใน Windows

ผมก็เห็นว่ามันมี if then else for while switch ฯลฯ เหมือน ๆ กันนี่นา... ทำไมเขียนใน Windows จะไม่ได้ใช้อัลกอริทึ่ม??? บ้ารึเปล่า

พอรวม ๆ กับรูปแบบตัวแปรที่มากกว่าแล้ว.. ผมว่าโปรแกรมใน Windows เขียนยากกว่าใน Dos เสียด้วยซ้ำไป

เถียงมาสิ
from : สมบัติ


คะแนน:
ร่วมแสดงความคิดเห็น (Post Comment)