คุณมนัส จันระภู วิศวกรผู้สู้ชีวิต ลูกผู้ชายตัวจริง อ่าน 34,681

 

 บุคคลทางวิศวกรรมและก่อสร้าง

คุณมนัส จันระภู


ชื่อ : นายช่างมนัส จันระภู
ตำแหน่ง : Project Engineer
องค์กร,บริษัท : Ritta Co.,Ltd.
website : http://www.manatconstruction.com
เบอร์โทร :
081-174-9801

สัมภาษณ์ประวัติ คุณมนัส จันระภู

. . . . . .จำความ ครั้งแรกได้ว่า หอบเสื่อและหมอนเดินตามก้นแม่และถามแกว่า
"
แมสิพ๊าข่อยไปไส" คุณแม่ตอบว่า "สิพ๊าเจ้าไปหาหม่องอยู่ใหม่"
นี่คือความจำ ครั้งแรกในชีวิต

ก่อนหน้าที่ ผมจะเกิดมาดูโลกใบนี้ ครอบครัวผมค่อนข้างจะมีฐานะในหมู่บ้านโคก และอบอุ่นมีคุณตา คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ และพี่ๆทั้งหลาย เป็นครอบครัวใหญ่ พอคุณตาป่วยหนัก ก็ขายวัวควายเพื่อรักษา พอคุณพ่อป่วยก็ขายบ้านรักษา แต่ทั้งคุณตาและคุณพ่อก็เสียชีวิตลง ครอบครัวขาดผู้ชาย คุณแม่จึงต้องเป็นผู้นำครอบครัว
ชีวิตจึงต้องต่อสู้ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
แต่ผมไม่เคยคิดว่าผมจน เรียนชั้นประถม เราก็ซนตามประสาเด็ก จนครูบางคนไม่ชอบหน้า กล่าวหาว่าเราเกเร แต่เราก็ไม่ชอบหน้าครูคนนี้เหมือนกัน เพราะครูคนนี้ชอบเล่นไพ่
พอเล่นได้ก็อารมณ์ดี พอเล่นเสียก็หาเรื่องกับเด็ก ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น

เรียนมัธยมต้นด้วยความมุ่งมั่น เพราะรู้ว่าตัวเองไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป อีกอย่างชาวบ้านก็จับตามอง ว่าจนแล้วยังอยากเรียนอีก ทำให้เราคิดว่าเราพลาดไม่ได้

เรียน
ม.ปลาย ที่ โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย ในเมืองขอนแก่น โดยพักที่ วัดนันทิการาม ตั้งแต่ผมเดินทางเข้าไปเรียนในเมือง ชีวิตผมได้เปลี่ยนไปมากกว่าเดิม คือ แม่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิด คอยดูแล ผมต้องคิด ตัดสินใจ และทำทุกอย่าง ด้วยตัวของผมเอง
ชีวิตประจำวันของผมช่วงนี้คือ อ่านหนังสือตีสามถึงตีห้า ทำหน้าที่ของเด็กวัดรวมทั้งเดินตามพระบิณฑบาต ตีห้าถึงเจ็ดโมง เรียนแปดโมงถึงสี่โมงเย็น เล่นกีฬาหรืออ่านหนังสือช่วงสีโมงถึงหนึ่งทุ่ม ทำการบ้านหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม นอนสามทุ่มถึงตีสาม เป็นกิจวัตร ยกเว้นบางวันที่ต้องทำงานหารายได้ คือ รับจ้างถีบสามล้อ ทุกคืนวันศุกร์และเสาร์ ได้รับคืนละ 30-50 บาทกลางวัน เสาร์ อาทิตย์ รับจ้างตัดหญ้าจัดสวน ตามบ้านจัดสรร ที่อาจารย์แนะแนว แนะนำได้รับค่าจ้างวันละ 60-80 บาท ช่วงพักเที่ยงของวันปกติ รับทำปกหนังสือที่ห้องสมุด เล่มละสองบาท
ภาพข้างล่างนี้ ภาพแรกเป็นกุฏิวัดที่ผมอาศัย ส่วนภาพที่สองเป็นภาพขยายของห้องนอน ของผม
 

เรียนมหาวิทยาลัย
ผมสอบติดโควต้าจุฬาชนบท คณะวิศวกรรมศาสตร์ มีความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะเรียนให้จบ แต่เกรดเฉลี่ยสามเทอมรวมกันได้ 1.80 และผมได้
รียนภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ เหตุเพราะจิตใจอ่อนไหวไม่มั่นคง
และอ่อนประสบการณ์ เพื่อนภาควิชาเดียวกันชวน Ent ใหม่เพราะไม่ชอบภาควิชา
แต่เราเป็นเด็กโควต้าจุฬาชนบท ถ้าผมจะ Ent ใหม่ต้องรีไทร์อย่างเดียว ทางมหาวิทยาลัยจึงจะไม่เรียกค่าเสียหายคืน ปีสองเทอมปลายผมจึงตัดสินใจเตรียมตัว Ent ใหม่
โดยไม่เข้าสอบ Final ทุกวิชา เพื่อให้เกรดเฉลี่ยต่ำกว่า 1.50 ตัวเองจะได้ไทร์สมใจ และก็สมใจจริง ตอนที่ผมไปรับเกรด ซึ่งรู้ว่าตัวเองรีไทร์อยู่แล้ว รู้สึกเลื่อนลอยนึกถึงหน้าแม่
ตอนที่แกถามจะเรียนจบเมื่อไหร่ เป็นความรู้สึกครั้งแรกที่หดหู่ที่สุดในชีวิต ทำอย่างไรได้เมื่อเลือกที่จะทำอย่างนี้แล้ว
ต้องอดทน ฟันฝ่าต่อไป อีกหนึ่งเดือน Ent ใหม่ เตรึยมตัวให้พร้อม ดีกว่ามานั่งเสียใจ

Entrance ครั้งที่สอง ติดอันดับสอง คณะนิติศาสตร์จุฬา ตัดสินใจเรียนอยู่หนึ่งปี
ผลการเรียนก็เป็นที่น่าพอใจ เกรดเฉลี่ย 3.10 แต่ความผูกพันและพื้นฐานในใจผม ยังอยากเรียนวิศวฯ ผมจึงเตรียมตัว ent ใหม่อีก เป็นครั้งที่สาม

Entrance ครั้งที่สาม ตัดสินใจว่าเรียนที่ไหนก็ได้ขอให้เป็นวิศวกร และเพื่อความมั่นใจของผม จึงเลือกอันดับหนึ่งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งอนาคตของผม

อาจจะมีคนสงสัยว่า ที่ผมเสียเวลาอยู่หลายปีนี้เอาเงินมาจากไหนเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ผมอยากบอกว่า ไม่อยากผิดพลาดหรืออยากเสียเวลาเลย แต่เพราะไม่รู่อนาคต ปัจจุบันนี้ผมนึกย้อนดู ผมสรุปได้ว่า เป็นความคิดเด็กๆ แต่ผมไม่เสียใจ ถือเป็นบทเรียนแห่งชีวิต ส่วนรายได้ระหว่างที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย
ได้แก่ หนึ่งทุนการศึกษา สองเป็นเด็กเสริฟ ที่ Noodle house แถว สยามสแคว์ วันละ 90 บาท ทำเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ สามรับจ้างสอนพิเศษ นักเรียนม.ปลายวิชาคณิตศาสตร์ ม3-6 ชั่วโมงละ 120-150 บาท สี่ทำงานใน Lab ของคณะวิศวกรรมฯหลังเลิกเรียน นี่เป็นงานหลักๆเท่าที่จำได้

และในที่สุด ผมก็ประสบความสำเร็จได้วุฒิ วศบ ไว้หาเลี้ยงชีพ
ชีวิตกับงาน ปัจจุบัน ผมทำงานในตำแหน่ง วิศกรโครงการ ของบริษัทฤทธาจำกัด ถือว่าประสบความสำเร็จและมั่นคงระดับหนึ่ง
แต่ชีวิตการทำงานกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็เหนื่อยพอสมควร
หลังจากเรียนจบ ผมทำงานกับบริษัทวอลท์เซ็นเอ็นเตอร์ไพรซ์(เวนโก้)
จนถึง ปี 2540 มีปัญหาแบกรับภาระ(ที่ไม่ได้ก่อของญาติพี่น้อง)ไม่ไหว จึงลาออกจากบริษัท แล้วบอกกับญาติพี่น้องว่า บริษัทให้ออก ผมจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบใคร(ยกเว้นแม่ที่ดูแลรับผิดชอบอย่างใกล้ชิด) แต่คิดผิดถนัด เมื่อเดินหางานกว่าหกเดือน ถึงค่อยได้งานที่บริษัททองตรา แต่ทำงานในตำแหน่ง Foreman เงินเดือนน้อยกว่า engineer เท่าตัว แต่ผมก็ต้องทำ เพราะต้องดูแลคุณแม่
สามเดือนต่อมา ผมมีโอกาสได้ไปทำงานที่ประเทศลาวของ บริษัท Mar engineering เป็นช่วงแห่งการ Adventure ของชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ผมสมัครและสัมภาษณ์ผ่านกับ Mar ที่กรุงเทพ ผู้จัดการให้รายละเอียดแค่ที่อยู่ของ บริษัทในลาว ซึ่งผมต้องเดินทางไปเองคนเดียว แต่ผมก็ต้องไป เมื่อไปถึง Mar ที่ เมืองคันทะบุลี แขวงสะหวันนะเขด สปป ลาว เจ้าของบริษัทฝ่ายลาว จัดให้ผมนอนในมุ้งเดียวกันกับคนขับรถ (มุ้งเหม็นมาก แต่ต้องนอน)
ส่วนหน้าที่ของผมตอนแรก ที่เขาให้ทำคือ คุมงานก่อสร้างระบบชลประทาน แต่งานในสำนักงานไม่มีคนทำ ผมจึงอาสาช่วยทำ และจัดระบบเอกสารให้ เจ้าของบริษัทลาวจึงชอบใจ (ปัจจุบันผมกับเขากลายเป็นพี่น้องกันที่ติดต่อกันตลอด) แต่เหตที่ผมต้องกลับไทย เนื่องจาก การเงินในลาวผันผวน ทำงานเสร็จบริษัทเบิกเงินไม่ได้ และบริษัทก็ไม่มีเงินจ่ายผมถึงสามเดือน ผมจึงต้องกลับไทย มาสมัครทำงานกับ บริษัทที่ทำงานในปัจจุบันนี้

ชีวิตรักดอทคอม . . . . . ."ความรักคือการให้ต่างจากความรักคือความเห็นแก่ตัว"อย่างไร
. . . . ความรักที่ผมมีต่อเธอคเป็นพี่ชายที่คอยดูแล Take care . . .ตั้งแต่เธอเข้ารั้วจามจุรี แต่เธอไม่รู้ว่า
ผมคิดอย่างไรกับเธอ เพราะเธอเป็นคนน่ารัก ร่าเริงแจ่มใส
จึงมีเพื่อนๆพี่น้องเยอะ เราในฐานะพี่ชาย จึงคอยดูแลเธออยู่ห่างๆ
ปลายปี 2534 เราไปออกค่ายหอพักฯที่ อ.พร้าว เชียงใหม่
วันหนึ่งผมเป็นไข้ มีรุ่นน้องวิทย์ไปซื้อยามาให้ หลังจากผมอาการดีขึ้น
ก็ช่วยชาวค่ายทำงานต่อ แต่ผมพึ่งสังเกตุว่า
เธอไม่ยอมพูดกับผม จึงเข้า ไปถาม เราคุยกันอยู่นาน เธอจึงบอกว่าหึงผม ......
ตั้งแต่นั้นมา ผมกับเขาก็คบกันมาจนถึงปัจจุบัน
แต่เรื่องที่น่าน้อยใจสำหรับผมตอนนี้คือพ่อแม่ของเธอ ไม่ยอมรับผม
ด้วยเหตผลที่พ่อแม่เขาบอกผมว่า ดูดวงแล้ว ไม่สมพงษ์กัน(ปี2537) คบกันไปจะเกิดแต่ปัญหา
แต่ผมวิคราะห์ดูแล้วไม่น่าจะมาจากสาเหตุนี้ น่าจะมาจากสาเหตุที่ว่า ครอบครัวผมจน

ชีวิตกับแนวคิด .
. .. บนเส้นทางแห่งการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล มีความแตกต่างหลากหลาย
แล้วแต่คนนั้นจะประสบ บางคนสุขสบายเนื่องจากเกิดมาในครอบครัวมีฐานะอบอุ่น บางคนเกิดมาในครอบครัวที่ขัดสน แต่ภายในจิตใต้สำนึก ของคนทั้งสองกลุ่มที่กล่าวมานั้น ไม่ได้หมายความว่าคนดีต้องรวย คนจนต้องชั่ว.
เมื่อคนๆหนึ่งหลงผิดคิดชั่วหรือกลายเป็นคนไม่ดีของสังคม แล้วไปโทษเพื่อน โทษครอบครัว
โทษสังคมหรือโทษสิ่งแวดล้อมต่างๆนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะคนจะดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวเขาเอง
ถ้าเขาใฝ่ดี ถึงแม้จะอยู่ ในภาวะแวดล้อมที่เลว เขาก็จะสามารถฝ่าฟัน จนหลุดออกจากส่วนเลวๆนั้นได้คนที่กลายเป็นคนไม่ดีของสังคม เพราะพวกเขาอ่อนแออ่อนไหว
และตามใจตัวเองมากเกินไป
ผมขอยืนยันแนวคิดที่ว่า คนจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเขา
ไม่ใช่ไปโทษองค์ประกอบอื่น

วามภูมิใจในชีวิต

. . . . . .
จบป.6ด้วยชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดี ครูบางคนหาว่าเราดื้อเกเร การเรียนก็ไม่เด่น
ปี2524สอบเข้าม.1 ที่ มัธยมต้นได้อันดับสี่ของรุ่นเป็นที่ฮือฮาแก่มวลชนชาวบ้าน
ไม่น่าเป็นไปได้ คาใจแก่บางคน ผลจากการสอบได้ที่สี่ ทำให้ได้รับทุนมูลนิธิร่วมจิตน้อมเกล้าฯ
ส่วนที่หนึ่งถึงสามไม่ได้เพราะมีฐานะดี
......ม.1 เทอมต้นเกรดเฉลี่ยได้ 3.59 เป็นอันดับหนึ่งของรุ่นโดยไม่ได้คาดหมาย
ทำให้มีชื่อกระจายไปทั่วตำบล เพราะเหตุนี้ทำให้เราต้องขยันเรียนอย่างหนักและประพฤติ ตัวให้ดี เพราะคนในตำบลเริ่มรู้จักและกำลังจับตามองเรา
สอบเข้าม.4 ที่แก่นนครวิทยาลัยได้อันดับสองของรุ่น

รับปริญญาบัตรวิศวกรรมศาสตร์(โยธา)จากในหลวงคือความสุขของแม่


 ดูผลงาน

http://www.manatconstruction.com

 

ผู้สัมภาษณ์ : Tumcivil.com 
สถานที่ : -
วันที่สัมภาษณ์ : 23 ธ.ค. 2546 Updated (14 ม.ค.2547)
คะแนน:
ร่วมแสดงความคิดเห็น (Post Comment)