เคล็ดได้งาน อ่าน 6,381

*เรื่องจาก Nation :

นับจากวันที่เรียนจบ จนวันนี้ก็ปาเข้าไปเกือบปีแล้ว ดิฉันจำได้ว่าตกงานอยู่ห้าเดือน แล้วก็ได้มาเป็นลูกจ้างในโครงการมิยาซาว่า เจ็ดเดือนผ่านไปโครงการยุติลง วงจรอุบาทว์ก็วนกลับมาอีก ตกงานอีกแล้วล่ะ

แม้ว่าจะกลับมาตกงานใหม่อีกครั้ง ก็ไม่หดหู่เท่ากับตอนตกงานครั้งแรกหลังเรียนจบ สาเหตุก็เพราะว่ามีเงินเหลือเก็บที่จะพออยู่ได้ต่ออีกห้าเดือนน่ะสิ ถ้ายังตกงานต่อเลยห้าเดือนไป คงจะหดหู่ของแท้อีกครั้ง วลีที่ว่าสูงสุดสู่สามัญมันกินใจแบบนี้นี่เอง

 

จะว่าไปแล้วโครงการนี้ยังให้ประโยชน์อีกอย่างที่สำคัญมากสำหรับดิฉัน นั่นคือการรู้จักวางแผนการใช้จ่ายเงินให้เกิดประโยชน์กับชีวิตได้ยาวนานที่สุด ก็จะจำไว้ใช้ตลอดชีวิตเลยแม้ว่าในภายภาคหน้า (อาจ) จะได้เป็นใหญ่เป็นโตก็ตาม

 

ตอนที่ทำงานอยู่ดิฉันก็สมัครงานไปทั่วเหมือนกัน ฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นช่วงของการรับผล ของกรรมที่ได้ก่อไว้ คือ การไปสอบสัมภาษณ์ ดิฉันทั้งส่งจดหมายสมัครงาน แล้วก็ไปสมัครเอง รวมๆ แล้วก็...นับไม่ถ้วน แต่ว่ามีเรียกสัมภาษณ์มาเพียงเจ็ดบริษัท ก็ปิ๋วไปหก และไม่มีพลิกล็อคหรอกนะคะที่จะได้รายที่เจ็ดน่ะ (นี่ไม่ใช่เกมที่เล่นๆ กัน แต่เป็นชีวิตจริง)

 

สำหรับรายที่เจ็ดนี้แม้ว่าผลจะยังไม่ออก (ผลออกสิ้นเดือน) ดิฉันก็มั่นใจเหลือเกินว่าไม่ได้ ก็ใครจะรู้ดีเท่าคนถูกสัมภาษณ์จริงมั้ยคะ ประสบการณ์ตกสัมภาษณ์ออกจะโชกโชนขนาดนี้ จากการที่ถูกสัมภาษณ์มาเยอะอย่างนี้ ก็อยากจะเล่าสู่กันฟังบ้าง เผื่อผลบุญจะส่ง เรื่องแรกที่จะเล่าก็คือ


  • คุณสมบัติของคนที่จะได้รับการเรียกสัมภาษณ์ก่อนใครๆ

  • ข้อแรก คือผลการเรียนต้องดีมากๆ (เกียรตินิยมไปเลย ขี้เกียจนิยมอย่าหวัง) เหตุผลเพราะว่าคนที่เขาสอบสัมภาษณ์เขาไม่รู้จักเรานี่ว่าเป็นคนชนิดใด จะรู้ว่าแท้จริงเราเป็นคนสมองดี เรียนรู้ไว มีความรับผิดชอบสูงก็ตรงผลการเรียนนี่ล่ะ เพราะงานหลักของนักศึกษาก็คือการเรียน

     

    ฉะนั้นเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของผลกรรมเก่า ในเมื่อเราฉลาดน้อยกว่าก็อย่าลงโทษตัวเอง เพราะยังไงก็แก้ไขไม่ได้แล้ว มันฉลาดน้อยมาตั้งแต่เกิดนี่นา แต่คนสัมภาษณ์เขาจะมีวันรู้ไหมว่า ความดี ความซื่อสัตย์น่ะ มันวัดกันตรงไหน เคยคิดไหมว่าคนที่ชอบเอาเปรียบคนอื่น คนขี้โกง มักจะเป็นคนฉลาดมากกว่าคนโง่ ฉะนั้นก็จงภูมิใจในตัวของตัวเองซะ

     

    ข้อสอง คือกิจกรรมในสถานศึกษาต้องมีด้วย เพราะแสดงว่าเราเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีมาก สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี ที่เรียกว่า Team Work ไงล่ะ ตรงนี้ขอแนะนำว่าชมรง ชมรม อะไรที่เคยไปลงชื่อเป็นสมาชิกไว้ แล้วไม่เคยโผล่หน้าเข้าไปเลย หรือกิจกรรมอะไรที่เข้าไปแจมกับเขาเล็กๆ น้อยๆ น่ะ พยายามเรียกความทรงจำขึ้นมาให้ได้แล้วเอามาเขียนลงให้หมด เล่าให้หมด

     

    ข้อสาม นี่เป็นข้อเฉพาะกิจของยุคนี้ (ยุคเศรษฐกิจเฮงซวย) เพราะเปิดดูใน Work Place ของกรุงเทพธุรกิจแล้ว ร้อยละร้อยคือต้องการประสบการณ์ อย่างน้อยต้องสามปีค่ะ ถ้าเพิ่งจบปริญญาตรีก็ไปต่อปริญญาโทแล้วกัน รอให้เศรษฐกิจฟื้นก่อน (ชาติหน้ามั้ง แต่อย่าสิ้นหวัง) แต่ถ้าจบโทแล้วจะต่อเอกก็ไม่ไหวล่ะก็ ต่อโทต๊องแทนซะ เอาดีด้านเลี้ยงลูกแล้วกัน

     

    ข้อสี่ นี่เป็นข้อตัดสินว่าเราจะเหนือกว่า candidate แค่ไหน มันจะได้มั้ยนะงานนี้ ก็เรื่องภาษาต่างประเทศไงคะ นอนมาเลยก็คือภาษาอังกฤษ มีคนแนะนำว่าภาษาจีนกลางก็น่าสนใจ เขาว่าจีนเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ถ้าสามารถเข้าไปทำธุรกิจในประเทศนี้ได้ละก็ รวย อเมริกาเองยังมิอาจห้ามใจเลย

     

    ทีนี้ถ้าเลือกที่จะเก่งภาษาจีนกลาง มันก็ควรต้องไปทำงานที่เมืองจีน จริงมั้ย (รายได้ดีมากนะจะบอกให้) แต่ถ้าอยากอยู่เมืองไทยก็ต้องภาษาอังกฤษเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้และต่อไป ของของเราก็จะเป็นของของฝรั่งหมด ดิฉันเองอาจต้องเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลเป็น Vivian Anderson ตามสามีก็ได้ เมื่อคุณสมบัติครบขนาดนี้ รับรองได้ถูกเรียกสัมภาษณ์แน่

     

    ทีนี้เวลาตอนที่ถูกสัมภาษณ์นี่สำคัญมาก มันเป็นการสร้างความประทับใจครั้งแรก (ซึ่งดิฉันไม่เคยทำได้สำเร็จ) มันไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงนี้จะไปตัดสินอะไรได้ แต่ว่ามันตัดสินได้จริงๆ นะ

    ส่วนใหญ่คนที่สัมภาษณ์เรา มักจะเป็นหัวหน้าของเราในอนาคต เขานี้แหละเป็นคนสำคัญ ที่มีส่วนทำให้เรามีงานทำหรือจงตกงานต่อไป ฉะนั้นเวลาตอบสัมภาษณ์เราต้องประจบเขาสุดฤทธิ์ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงนี้เรียนรู้เขาเช่นกัน เดาๆ เอาว่าหัวหน้าลักษณะแบบนี้ชอบลูกน้องแบบไหน

    เช่นถ้าดูๆ แล้วว่าเขาน่าจะเป็นพวกอนุรักษนิยม เราก็ควรทำตัวสุภาพอ่อนน้อม วางฟอร์มขรึมเข้าไว้ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว แต่ถ้าดูว่าเขาเป็นคนที่กระตือรือร้น เราก็ต้องคล่องแคล่วฉะฉาน ไม่เชื่องช้า พอได้งานทำแล้วค่อยว่ากันอีกที (แต่ดิฉันว่าเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด มันสบายใจไม่ต้องเสแสร้ง)

     

    ทีนี้ถ้าผลออกมาว่าไม่ได้งานทำก็จงอาฆาตแค้นเขา อย่าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง แล้วทำลายตัวเอง มันไม่ถูกต้อง เราเองก็พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วนี่ว่า เวลาครึ่งชั่วโมงนี่ มันตัดสินไม่ได้ว่าใครเป็นคนยังไงใช่ไหม อ้อ แต่ถ้าคิดจะไปทำร้ายเขาเพื่อละลายความแค้นล่ะ ก็คงจะได้ไปฝึกอบรมฝีมือแรงงาน ที่กรมราชทัณฑ์แทนกรมพัฒนาฝีมือแน่ๆ



  • ต่อไปก็เป็นคำถามที่มักจะถามกัน แบ่งออกเป็นสามประเภท

  • ประเภทแรก ก็กรุณาแนะนำตัวเอง ประวัติครอบครัวพี่น้อง การศึกษา ประวัติการทำงาน ก็ present ให้สุดๆ ไปเลยค่ะ

     

    ประเภทถัดมา ก็จะถามเรื่องความรู้ในวิชาการที่เรียนมา ความรู้เรื่องงานที่เคยทำ ก็วิชาใครวิชามันวิชามารก็ได้ หลักการหลักกูเอามาตอบให้หมด

     

    ประเภทสุดท้าย สำคัญมาก มักจะเป็นคำถามเชาว์ แปลว่าต้องใช้ไหวพริบ และปัญญาที่มีอยู่ในเวลาซึ่งน้อยนิดนั้น คั้นเป็นคำตอบที่สวยสมาร์ทที่สุดออกมา ถ้าตอบได้โดนใจกรรมการล่ะก็ ชัวร์ ตัวอย่างคำถาม เช่น

     

  • คุณคิดว่าตัวคุณมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง? คุณจะแก้ไขข้อเสียของคุณอย่างไร?
  • แนะนำว่าให้เน้นทางสายกลางค่ะ ทั้งข้อดีข้อเสียเอาพอประมาณ ไอ้ข้อดีนี่คิดง่าย แต่ข้อเสียต้องคิดมากๆ อย่าให้มันย้อนมาทำร้ายเราได้ ให้เป็นข้อเสียที่ฟังดูดี เช่น ข้อเสียของหนูคือ บางครั้งหนูมีความเห็นไม่ตรงกับหัวหน้า แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งท่านมากนักค่ะ เห็นมั้ยว่าดูดีหน่อยๆ

     

  • คุณเป็น hard working รึเปล่า? ทำงานเช้ายันดึก ต้องกลับบ้านมืดๆ เสาร์อาทิตย์ วันหยุดอื่นอาจต้องมาทำงานน่ะไหวมั้ย? (แต่เงินเดือนไม่ได้ hard ไปด้วยนะคะ)
  • ถ้าคุณเป็นคนที่ตอแหลมากก็ต้องตอบว่าไหวค่ะ สบายมาก ปกติหนูก็บ้างานอย่างนี้อยู่แล้ว (หนูถึงไม่มีแฟนซะทีเพราะไม่มีเวลาหา แต่หนูคงจะมีผัวโดยไม่ได้ตั้งใจตอนกลับบ้านดึกนี่ล่ะคะ) แต่ถ้าคุณเป็นคนที่จริงใจก็ตอบไปว่า ถ้ามีความจำเป็นจริงก็ทำได้ และถ้าเป็นไปได้ อาจจะเอางานกลับมาทำต่อที่บ้าน จะได้ทันกับเวลา

     

  • ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีอย่างนี้คุณมีความคิดเห็นอย่างไร? คิดจะแก้ไขอย่างไร?

  • คุณจะแก้ปัญหาระบบสถาบันการเงิน จะปลุกผีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างไร?

  • แล้วปัญหาม็อบคนจน ม็อบเกษตรกรล่ะเอาไง

  • ไหนจะเรื่องตลาดหุ้น ทุนนอกไหลออก การพยุงค่าเงินบาท ปัญหาการรวมบัญชีนี่อีก ฯลฯ เอ้อ สี่ข้อสุดท้ายนี่ หนูขอโยนค่ะ ให้รัฐบาลตอบแทน

     



  • ข้อแนะนำในการเตรียมตัว

     

  • อ่านหนังสือ ฟังข่าว ฟังคนที่เขามีความรู้เขาวิเคราะห์กันยังไงแล้ว หัดคิดเองอย่าเชื่อคนง่ายๆ แต่อย่าคิดมากเดี๋ยวจะเป็นโรคประสาท ดูหนังจีนเยอะๆ เพราะให้ข้อคิดดี

     

    สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญทำทาน บ้าง ขอผลบุญเกื้อหนุน ผลบาปถอยไปก่อน อย่างน้อยก็จะได้ รู้สึกว่าสบายใจ ใจเราร่มเย็น แต่อย่าไปฟุ้งซ่านเข้าล่ะ อย่าลืมว่า ศาสนาพุทธสอนให้พึ่งตัวเอง

     

    สุดท้าย ขยันดู Work Place ขยันส่งจดหมายสมัครงาน ซักวันคงจะได้เป็นลูกจ้างเขาสมใจ
    คะแนน:
    ร่วมแสดงความคิดเห็น (Post Comment)